มีชายผู้หนึ่ง โง่เขลาเบาปัญญา มิหนำซ้ำฐานะยากจน ทว่าอยู่มาวันหนึ่งด้วยโชควาสนาที่พอมีอยู่ ขณะที่ชายผู้นี้กำลังซ่อมแซมรั้วในสวนหลังบ้านซึ่งพังลงมาเพราะพายุฝน ได้บังเอิญขุดพบทองคำก้อนโตที่ฝังอยู่ริมรั้ว จนทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน แต่ด้วยความที่รู้ว่าสติปัญญาของตนเองค่อนข้างทื่อทึบ จึงเกรงว่าอาจจะถูกผู้อื่นมาหลอกลวงเอาเงินทองไป เขาจึงนำเรื่องไปปรึกษากับอาจารย์เซน
อาจารย์เซนแนะนำว่า "ในเมื่อตอนนี้ท่านมีเงิน ส่วนผู้อื่นมีปัญญา เหตุใดไม่นำเงินของท่านไปแลกปัญญาจากผู้อื่นเล่า?"
ชายผู้เป็นเศรษฐีใหม่ผู้นี้ จึงได้พกพาคำแนะนำของอาจารย์เซน ไปหาพระที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องทรงภูมิรู้ผู้หนึ่ง จากนั้นเอ่ยปากว่า "ท่านสามารถขายปัญญาของท่านให้กับข้าได้หรือไม่?"
พระรูปนั้นตอบว่า "ปัญญาของเรามีราคาแพงมาก"
ชายผู้โง่เขลาจึงรีบตอบว่า "ขอเพียงสามารถซื้อปัญญามาประดับสมอง แพงเท่าไหร่ข้าก็พร้อมยอมจ่าย"
เมื่อได้ฟังดังนั้น พระจึงกล่าวว่า "อันว่าปัญญานั้น คือเมื่อท่านประสบปัญหาใดก็ตาม อย่าใจเร็วด่วนได้รีบร้อนแก้ไข จงค่อยๆ…
.
ครั้งหนึ่งอาจารย์เซนฝออิ้นและซูตงโพ เดินทางไปกราบพระยังวัดหลิงอิ่น ณ เมืองหางโจว เมื่อเข้าไปในอุโบสถ อาจารย์เซนฝออิ้นจึงกราบลงที่เบื้องหน้ารูปสลักไม้องค์พระโพธิสัตว์กวนอิม ที่ประดิษฐานอยู่ภายใน
เห็นดังนั้น ซูตงโพก็เอ่ยถามขึ้นว่า "ผู้คนพากันกราบไหว้ สวดมนต์บูชาพระโพธิสัตว์กวนอิม แต่ไฉนในพระกรของพระองค์ก็มีประคำสำหรับสวดมนต์คล้องไว้เช่นเดียวกับคนธรรมดา อย่างนั้นองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมทรงสวดมนต์บูชาต่อผู้ใด?"
อาจารย์เซนฝออิ้นตอบว่า "บูชาพระโพธิสัตว์กวนอิมเช่นกัน"
ซูตงโพจึงแย้งว่า "บูชาพระโพธิสัตว์กวนอิม? นั่นใยมิใช่พระโพธิสัตว์กวนอิมสวดมนต์บูชาตนเองหรือ?"
อาจารย์เซนฝออิ้นจึงตอบว่า "นั่นเพราะพระองค์ทรงกระจ่างในใจมากกว่าเหล่าเวไนยสัตว์ ว่าที่แท้แล้ว ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน อย่างไรเล่า"
ปัญญาเซน : ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ทุกข์จักดับได้ด้วยปัญญาแห่งตน
***…
อาจารย์เซนเหลียงควน หากไม่อยู่ที่วัดหงฝ่า ก็มักจะไปพำนักอยู่อย่างสมถะในกระท่อมมุงจาก บริเวณเชิงเขาอันเงียบสงบ
คืนวันหนึ่ง เมื่ออาจารย์เซนกลับมาจากการแสดงธรรมเทศนา พลันพบว่ามีขโมยผู้หนึ่งกำลังค้นหาของมีค่าอยู่ภายในกระท่อมน้อยเชิงเขา ซึ่งเป็นที่พำนักของตน เมื่อขโมยพบเห็นอาจารย์เซน ก็ตกใจเป็นอันมาก
ฝ่ายอาจารย์เซนเหลียงควน กล่าวกับขโมยว่า
“ไม่พบของมีค่าที่จะนำไปได้ใช่หรือไม่ เกรงว่าการมาของท่านครั้งนี้คงจะเสียเที่ยวเปล่า เช่นนี้เถอะ เรามีเพียงจีวรที่สวมใส่อยู่เท่านั้นที่พบว่าพอจะมีมูลค่าให้ท่านหยิบฉวยนำไปได้”
กล่าวจบแล้วจึงปลดจีวรมอบให้ขโมยไป
เมื่อขโมยรับจีวรมาแล้ว ก็รีบวิ่งหนีไป ส่วนอาจารย์เซนยังคงยืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่าง มองแผ่นหลังของขโมยที่ค่อยๆ ลับจากสายตา พลางรำพึงออกมาว่า
“น่าเสียดาย ที่เราไม่อาจมอบแสงสว่างอันงดงามของดวงจันทร์ให้ท่านนำกลับไปได้”
“แสงสว่างอันงดงามของดวงจันทร์” ที่อาจารย์เซนเอ่ยถึงนั้น ที่แท้แล้วคือจิตเดิมแท้ของสรรพสัตว์ อันเป็นจิตที่บริสุทธิ์ก่อนถูกปรุงแต่งด้วยกิเลสทั้งปวง และเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด…
แต่ก่อนนานมาแล้ว ยังมีชายชราคนหนึ่ง แก่มากจนตัวเองก็จำไม่ได้เช่นกันว่าตัวเองอายุเท่าไรแล้ว ใบหน้าของแกอิ่มเอิบเปล่งประกายเลือดฝาด เคราสีเงินยวงสะอาดตาของแกยาวปกคลุมมาถึงหน้าอก ร่างกายของแกแข็งแรงมาก ตาก็ยังไม่ฝ้าฟาง หูก็ยังไม่หนวก แกมีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง แต่แกก็ยังเป็นคนจัดการทุกสิ่งทุกอย่างภายในกิจการของครอบครัว ปีนี้แกตัดสินใจว่าจะเลือกใครคนหนึ่งจากลูกชาย 15 คน ของแก มาสืบทอดภารกิจในการบริหารกิจการนี้เสียที แต่ว่า จะเลือกใครดีล่ะ
วันนี้ แกคิดวิธีที่ดีที่สุดได้แล้ว จึงสั่งให้ลูกชายทั้ง 15 คนมาพบ แล้วแจกเมล็ดดอกไม้ให้ลูก ๆ คนละ 1 เมล็ด หากใครสามารถปลูกเมล็ดพืชเม็ดนี้ให้งอกงามจนออกดอกบานสะพรั่ง คนนั้นก็จะได้เป็นผู้สืบทอดมรดกของแก ลูก…
ในอดีตมีพระเซนรูปหนึ่ง เขามีศิษย์เกียจคร้านเอาแต่นอนหลับทั้งวัน วันหนึ่งศิษย์ผู้นี้นอนจนสายก็ยังไม่ตื่น ทำให้พระเซนไม่พอใจ จึงต่อว่าลูกศิษย์ว่า "เวลาสายขนาดนี้ ตะวันส่องจนแม้แต่ฝูงเต่ายังพากันคลานออกนอกบึงบัวมารับแสงแดดกันหมดแล้ว เหตุใดตัวเจ้ากลับมัวแต่นอนอยู่ได้"
เวลาเดียวกันนั้นเอง บริเวณใกล้เคียงมีคนผู้หนึ่งที่กำลังต้องการจับเต่าไปแกงเป็นยาให้มารดาซึ่งกำลังป่วยรับประทาน เมื่อได้ฟังพระเซนบอกว่ามีเต่าออกมาจากบึง จึงได้รีบไปจับเต่ามาเชือดจากนั้นนำเนื้อมาปรุงเป็นแกงเต่า ทั้งยังแบ่งแกงเต่ามาให้พระเซนเพื่อแสดงความขอบคุณที่ชี้ทางให้อีกด้วย
ฝ่ายพระเซน เมื่อทราบว่าการพูดจาโดยไม่ได้ตั้งใจของตนเอง เป็นต้นเหตุแห่งการตายของบรรดาเต่าก็เกิดความรู้สึกผิดอย่างยิ่ง เพราะหากตนไม่เอ่ยปากพูดไปเช่นนั้นเต่าก็คงไม่โดนพบเห็น พระเซนจึงได้ให้คำมั่นกับตัวเองว่าต่อไปจะไม่เอ่ยปากพูดจาอีกเลยตลอดชีวิตเพื่อเป็นการชดใช้บาปที่ทำไว้ ทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดเช่นนี้ขึ้นอีกในภายภาคหน้า
เวลาผ่านไปไม่นาน ขณะที่พระเซนนั่งอยู่บริเวณหน้าวัด เขาพลันพบว่ามีชายตาบอดผู้หนึ่งกำลังเดินหลงทิศ มุ่งหน้าลงไปยังบึงบัวนั้น แต่จนใจที่พระเซนให้สัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่เปิดปากพูด จึงไม่สามารถร้องเตือนชายตาบอดได้ แต่หากไม่เอ่ยปากตักเตือน ชายตาบอดคงต้องตกลงไปในบึงบัวเป็นแน่
พระเซนเอาแต่ลังเลว่าจะทำเช่นไรดี ปล่อยเวลาผ่านไป ในที่สุดชายตาบอดก็เดินตกลงไปในบึงบัว…
ราหนึ่งอาจารย์เซนรับศิษย์หลายราย ทว่าเมื่อพิจารณาดูแล้ว ยังไม่มีผู้ใดที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะศึกษาปรัชญาเซน เนื่องเพราะผู้มาใหม่เหล่านี้ ล้วนยังติดกับความสุขสบายภายนอก มีทั้งผู้ที่ตะกละ เกียจคร้าน เลี่ยงงาน ดังนั้นอาจารย์เซนจึงได้เล่านิทานเรื่องหนึ่งให้เหล่าลูกศิษย์ฟัง เรื่องมีอยู่ว่า...
ยังมีคนผู้หนึ่ง เมื่อตายไปแล้ว วิญญาณก็ได้ออกจากร่างล่องลอยไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ขณะถึงประตูทางเข้านายทวารได้เอ่ยถามขึ้นว่า
"เจ้าชอบกินอาหารใช่ไหม?...ที่นี่มีอาหารเลิศรสมากมายให้เจ้ากิน เจ้าชอบนอนหลับด้วยใช่ไหม?...ที่นี่เจ้าจะนอนนานเท่าไหร่ก็ไม่มีใครรบกวน และเจ้ารักความสนุกสนานใช่ไหม?...ที่นี่มีกิจกรรมสนุกๆ มากมายให้เจ้าเลือกทำ อีกทั้งเจ้ายังรังเกียจการทำงานใช่หรือไม่?...พอดีที่นี้รับประกันได้ว่า เจ้าจะไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่มีใครวุ่นวายกับเจ้าแน่นอน"
วิญญาณผู้มาใหม่ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจเป็นอันมาก เข้าใจว่าตนเองมาถึงประตูสวรรค์แล้ว จึงตกลงใจอยู่ที่นี่ และผ่านวันเวลาไปด้วยการกิน นอน เล่น กิน นอน เล่น…
ยังมีพ่อค้าของเก่าจอมเจ้าเล่ห์รายหนึ่ง เดินทางผ่านมายังอารามเซน ขณะมองเข้าไปในอาราม บังเอิญพบเห็นโต๊ะโบราณซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของที่เคยใช้ภายในราชสำนัก ตัวหนึ่งตั้งอยู่ด้านใน
โต๊ะตัวนี้งดงามยิ่ง ทำจากไม้หายากลวดลายแกะสลักวิจิตรบรรจง ไม่ว่าจะมองในแง่คุณค่าทางศิลปะ หรือมูลค่าแท้จริงก็ล้วนจัดว่าโต๊ะตัวนี้คือของล้ำค่า เมื่อเห็นดังนั้นพ่อค้าจึงตาลุกวาว คิดแผนการณ์ว่าทำอย่างไรจึงจะได้โต๊ะมาในราคาที่คุ้มทุนที่สุด
ขณะนั้น เป็นเวลาพอดีกันกับที่เณรน้อยรูปหนึ่ง ต้องนำโต๊ะตัวดังกล่าวออกมารับแสงแดด และเช็ดถูทำความสะอาด พ่อค้าจึงได้จังหวะเข้าไปพูดคุยกับเณรว่า "โต๊ะตัวนี้เป็นโต๊ะที่งดงามยิ่ง" เณรน้อยมิตอบคำ ตั้งหน้าตั้งตาเช็ดโต๊ะต่อไป
พ่อค้าจึงกล่าวอีกว่า "แม้ว่าจะสวยงาม แต่น่าเสียดายที่มันเป็นของปลอม เพราะของจริงนั้นตั้งอยู่ที่บ้านของข้าเอง" เณรน้อยยังคงมิใส่ใจ
พ่อค้าไม่ละความพยายามกล่าวต่อไปอีกว่า "น่าเสียดาย เมื่อตอนที่ข้าย้ายบ้าน ไม่ทันระวังทำขาโต๊ะโบราณของข้าหักไป 2 ข้าง…
มีชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมเสื้อผ้าเก่าขาด ท่าทางเฉื่อยชา เอาแต่นั่งทอดหุ่ยปล่อยให้แสงแดดโลมเลียร่างกาย สลับกับหาวหวอดๆ เป็นระยะ
เมื่ออาจารย์เซนเดินผ่านมาพบคนผู้นี้เข้า จึงเกิดความประหลาดใจจนต้องเอ่ยถามว่า "พ่อหนุ่ม อากาศดีๆ ในฤดูกาลที่นานๆ จะเวียนมาถึงเช่นนี้ เหตุใดเอาแต่มานั่งเปล่าประโยชน์ ใยไม่ไปลงมือทำสิ่งที่ต่างๆ ควรทำ เจ้าไม่เสียดายช่วงเวลาดีๆ เช่นนี้หรอกหรือ?"
ชายหนุ่มถอนใจครั้งหนึ่ง พลางตอบว่า "บนโลกใบนี้ นอกจากร่างกายแล้ว ไม่มีสิ่งใดเป็นของข้าสักอย่าง เช่นนั้นใยต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจไปกระทำสิ่งต่างๆ ด้วยเล่า?"
"เจ้าไม่มีบ้านหรือ?" อาจารย์เซนถาม "ไม่มี หากมีบ้านก็ต้องเป็นภาระคอยดูแล เช่นนั้นไม่ต้องมีเสียเลยดีกว่า" ชายหนุ่มตอบ
"เจ้าไม่มีคนที่เจ้ารักหรือ?"…
ยังมีสาวสะคราญนางหนึ่ง เป็นผู้มีความเพียบพร้อมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ฐานะตระกูลสูงส่ง เหนือกว่าผู้อื่นในทุกๆ ด้าน ซึ่งนางเองก็ทราบข้อนี้ดี แต่กลับไร้ซึ่งความสุข
แม้อยากหาใครปรับทุกข์ด้วยก็มิมีแม้สักคนเดียว ดังนั้นนางจึงไปกราบนมัสการอาจารย์เซนอู๋เต๋อ และถามว่าทำอย่างไรนางจึงจะเพิ่มพูนเสน่ห์ในตนเอง เป็นที่รักใคร่ชื่นชมของผู้อื่น
อาจารย์เซนอู๋เต๋อบอกกับนางว่า "ไม่ยาก ต่อจากนี้ไปหากสีกามีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใดก็ตาม จงเป็นไปด้วยจิตเมตตา พูดคำเซน ฟังเสียงเซน ปฏิบัติกิจของเซน มีจิตแห่งเซน เช่นนี้สีกาจะกลายเป็นผู้เปี่ยมด้วนเสน่ห์"
เมื่อหญิงสาวนางนี้ได้ฟังคำแนะนำ ก็เอ่ยถามว่า "คำเซน เป็นเช่นใดเล่าท่านอาจารย์?"
อาจารย์เซนอธิบายว่า "คำเซน คือคำพูดในเรื่องดีงาม พูดความจริง…
ครั้งที่อาจารย์เซนเฉิงจัว (Seisetsu Shucho) จาริกธรรมยังวัดหงฝ่า (弘法寺) มณฑลเจ้อเจียง จนได้รับความเคารพศรัทธายิ่งนัก
ทุกครั้งที่มีการแสดงธรรมเทศนา ล้วนมีผู้คนมารอฟังอย่างเนืองแน่นจนกลายเป็นแออัด
จึงมีผู้เสนอให้ร่วมกันบริจาคเงิน เพื่อสร้างหอแสดงธรรมแห่งใหม่ให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับผู้มีศรัทธา ในพุทธศาสนานิกายเซนจำนวนมากให้ได้มาร่วมกันฟังธรรม
เมื่อเห็นตรงกัน อุบาสกผู้หนึ่งจึงนำถุงบรรจุเงินห้าสิบตำลึงทองมาถวายให้อาจารย์เซนเฉิงจัว โดยระบุว่าขอร่วมบริจาคเงินสร้างหอแสดงธรรมแห่งใหม่ อาจารย์เซนเฉิงจัวจึงรับเงินมาเก็บไว้ จากนั้นลงมือทำกิจวัตรประจำวันต่อไปตามปกติ
อุบาสกผู้บริจาคเงินก้อนใหญ่เห็นดังนั้น รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง เนื่องเพราะเขาเห็นว่าเงินห้าสิบตำลึงทองจัดว่ามากโข คนธรรมดาสามัญสามารถใช้เงินจำนวนนี้ดำรงชีวิตได้หลายปีทีเดียว
ทว่าอาจารย์เซนกลับรับเงินไปด้วยท่าทางเฉยเมย ไม่มีการให้ศีลให้พร แม้แต่คำว่า "ขอบคุณ" สักคำยังไม่ยอมเอ่ย เมื่อคิดได้ดังนั้น อุบาสถผู้นี้จึงเดินไปเน้นย้ำต่ออาจารย์เซนว่า "ท่านอาจารย์…