นานมาแล้ว ในประเทศจีนสมัยก่อน สามี ภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่งรักกันมาก บังเอิญฝ่ายภรรยาล้มป่วยหนัก ขณะใกล้ตาย ภรรยาได้ยึดมือสามีไว้แน่น พรำ่รำพันความรักที่นางมีต่อสามีเหลือล้น สารภาพว่าไม่อยากจะจากพรากไปเลย นางขอร้องให้สามีอย่าได้ไปเป็นของใครอื่น หากสามีไปมีอะไรกับหญิงใดแล้ว นางจะเป็นผีกลับมารบกวนทำพิษเล่นงานไม่หยุด
เหตุการณ์ทั้งหลายแหล่เป็นไปได้อย่างปกติในระยะ ๓ เดือนแรก ต่อจากนั้นชายคนนี้ก็ไปพบรักเข้ากับหญิงอีกคนหนึ่งถึงกับจัดการหมั้นเพื่อจะแต่งงานกัน
เมื่อเหตุการณ์เป็นไปในรูปนี้ ในเวลากลางคืน ไม่เว้นแต่ละคืนก็ปรากฏว่า มีผีภรรยาที่ตายไปมาหลอกชายคนนั้น ตัดพ้อต่อว่าขู่เข็นในการที่เขาไม่รักษาคำมั่นสัญญา ชายคนนั้นหมดหนทางที่จะไปแก้ตัวโต้เถียงชี้แจงเหตุผลอย่างไร ภรรยาผู้ตายเมื่อยังมีชีวิตอยู่ เขาก็ทราบดีว่าหล่อนไม่ใช่คนฉลาดหลักแหลมอะไร เขาเสียเองอีกที่เป็นช้างเท้าหน้า คอยนำให้ฝ่ายหญิงคิดอ่านในเรื่องต่างๆ แต่เมื่อตอนเป็นผีกลับมานี้ ทำไมถึงได้ฉลาดไหวพริบทุกสิ่งทุกอย่าง พูดบ่ายเบี่ยงแก้ตัวไปอย่างไร ผีก็รู้ทันเขาหมด…
มีชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมเสื้อผ้าเก่าขาด ท่าทางเฉื่อยชา เอาแต่นั่งทอดหุ่ยปล่อยให้แสงแดดโลมเลียร่างกาย สลับกับหาวหวอดๆ เป็นระยะ
เมื่ออาจารย์เซนเดินผ่านมาพบคนผู้นี้เข้า จึงเกิดความประหลาดใจจนต้องเอ่ยถามว่า "พ่อหนุ่ม อากาศดีๆ ในฤดูกาลที่นานๆ จะเวียนมาถึงเช่นนี้ เหตุใดเอาแต่มานั่งเปล่าประโยชน์ ใยไม่ไปลงมือทำสิ่งที่ต่างๆ ควรทำ เจ้าไม่เสียดายช่วงเวลาดีๆ เช่นนี้หรอกหรือ?"
ชายหนุ่มถอนใจครั้งหนึ่ง พลางตอบว่า "บนโลกใบนี้ นอกจากร่างกายแล้ว ไม่มีสิ่งใดเป็นของข้าสักอย่าง เช่นนั้นใยต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจไปกระทำสิ่งต่างๆ ด้วยเล่า?"
"เจ้าไม่มีบ้านหรือ?" อาจารย์เซนถาม "ไม่มี หากมีบ้านก็ต้องเป็นภาระคอยดูแล เช่นนั้นไม่ต้องมีเสียเลยดีกว่า" ชายหนุ่มตอบ
"เจ้าไม่มีคนที่เจ้ารักหรือ?"…
ครั้งหนึ่ง ชายชราบนดวงจันทร์ได้มองลงมาที่ป่าใหญ่บนโลกมนุษย์ เขาเห็นกระต่าย ลิง และ สุนัขจิ้งจอก ทั้งสามอาศัยอยู่ด้วยกันที่นั่น และต่างเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
ชายชราอยากรู้ว่าสัตว์ตัวไหนใจดีที่สุดจึงแปลงตัวเป็นขอทานแล้วลงจากดวงจันทร์ไปยังป่าที่สัตว์ทั้งสามอาศัยอยู่นั้น "โปรดช่วยผมด้วย ผมหิว หิวเหลือเกิน" เขาพูดกับสัตว์ทั้งสาม สัตว์ทั้งสามรู้สึกสงสาร ต่างแยกกันไปหาอาหารมาให้ขอทาน
ลิงนำผลไม้มาจำนวนมาก สุนัขจิ้งจอกจับได้ปลาตัวใหญ่ แต่กระต่ายไม่สามารถหาสิ่งใดมาได้เลย กระต่ายร้องคร่ำครวญ แต่แล้วก็ได้ความคิดขึ้นมา "ได้โปรดเถอะ คุณลิง ช่วยกรุณานำไม้ฟืนมาให้ฉันหน่อย ส่วนคุณสุนัขจิ้งจอก ขอได้โปรดนำไม้ฟืนกองนั้นก่อไฟกองใหญ่ให้ฉันด้วย"
สัตว์ทั้งสองทำตามคำขอของกระต่าย เมื่อไฟลุกไหม้สว่างดีแล้ว กระต่ายก็พูดกับขอทานว่า "ผมไม่มีสิ่งใดจะให้คุณ ดังนั้นผมจะโยนตัวเองลงไปในกองไฟนี้…
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ชายหนุ่มผู้หนึ่งนามว่า มิการาน กำลังเดินทางกลับบ้านภายหลังจากเสร็จงานในทุ่งนา ขณะที่เดินผ่านชายฝั่งทะเลสาบ เขาได้พบสิ่งของบางอย่างแขวนอยู่ที่ต้นไม้ดูคล้ายผ้า แต่ไม่เหมือนผ้าที่เขาเคยพบเห็นมาก่อน ผ้าผืนนั้นส่องแสงเป็นประกายคล้ายแสงดวงดาวยามค่ำคืนที่มืดมิด มิการานรู้สึกยินดีมาก จากนั้นเขาได้ดึงผ้าผืนนั้นลงมาพับแล้ววางลงในตะกร้า ขณะที่กำลังจะเดินจากต้นไม้นั้นไปก็พอดีมีเสียงคนเรียก
"ขอโทษค่ะ คุณ" "นั่นใครพูด" "ฉันเอง" หญิงสาวที่สวยที่สุดเท่าที่มิการานเคยเห็นมา ได้เดินก้าวออกมาจากพงหญ้าสูง "ได้โปรดมอบผ้าแห่งสวรรค์คืนให้ฉันด้วย ถ้าไม่มีผ้าแห่งสวรรค์ ฉันก็คงไม่สามารถกลับขึ้นไปสู่บ้านบนสวรรค์ของฉันได้ " หล่อนพูดต่อ ดวงตาเริ่มเอ่อล้นด้วยน้ำตา "ฉันมิได้อยู่บนโลกใบนี้ ฉันเพียงแต่มาที่นี่เพื่ออาบน้ำในทะเลสาบที่น่ารักแห่งนี้ ได้โปรดเถอะค่ะ คืนผ้าให้ฉันด้วย"
หัวใจของมิการานเต้นตึกตักๆ "ผมไม่ทราบว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร ผมไม่เคยเห็นผ้าอะไรเลย"…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายขี้เกียจคนหนึ่งชื่อกมเบอาศัยอยู่ในที่แห่งหนึ่ง วันนี้ก็เช่นกันขณะที่กมเบกำลังนั่งๆนอนๆอยู่ที่บ้าน คนข้างบ้านได้มาหาแล้วบอกว่า
ผู้ใหญ่บ้านมีลูกสาวคนหนึ่ง เธอแต่งงานแล้ว ตอนอยู่ด้วยกันใหม่ๆเธอก็รักสามีเธอดีตามประสาคนเพิ่งแต่งงาน
ในอดีตกาลนานมาแล้ว ลึกเข้าไปในป่าไผ่ มีชายชราและภรรยาคู่หนึ่งอาศัยอยู่ ทั้งสองยากจนมากและไม่มีลูก ชายชราใช้เวลาตอนกลางวันตัดไม้ไผ่ทำตะกร้า โต๊ะ และสินค้าอื่นๆไปขายในเมือง ทุกๆคนเรียกชายชราผู้นี้ว่า"คนตัดไม้ไผ่"
พระเซนชรารูปหนึ่งในประเทศจีนซึ่งปฏิบัติภาวนาอยู่นานหลายปี ท่านมีจิตดีและกลายเป็นคนสงบเงียบมาก แต่ก็ยังไม่เคยสัมผัสการสิ้นสุดแห่ง "ฉัน" และ "ผู้อื่น" ภายในใจได้อย่างแท้จริง ท่านไม่เคยบรรลุถึงต้นธารความนิ่งหรือศานติที่สมบูรณ์ซึ่งเป็นบ่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอันลึกซึ้ง ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไปขออนุญาตอาจารย์ว่า
"ผมขอออกไปปฏิบัติบนเทือกเขาได้ไหมครับ ผมถือบวชและฝึกฝนมานานหลายปี ไม่ต้องการอื่นใดนอกจากการเข้าใจธรรมชาติแท้ของตนเองและโลก"
อาจารย์รู้ว่าจิตของพระรูปนี้สุกงอมแล้วจึงอนุญาตให้ไปได้ ท่านออกจากวัดโดยมีบาตรและบริขารเพียงเล็กน้อยติดตัว ระหว่างทางได้เดินผ่านเมืองต่าง ๆ หลายเมือง
ครั้นออกจากหมู่บ้านสุดท้ายก่อนขึ้นเขา ปรากฏว่ามีชายชราคนหนึ่งเดินสวนทางลงมา ชายคนนั้นมีห่อใหญ่มากเป้ติดหลังมาด้วย ชายชราเอ่ยทักพระว่า
"สหาย ท่านกำลังจะไปไหนหรือ"
พระจึงเล่าเรื่องของตนว่า
"เราปฏิบัติมานานหลายปีแล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่ต้องการคือการได้สัมผัสจุดศูนย์กลางนั้น คือการรู้สิ่งที่เป็นแก่นแท้แห่งชีวิต บอกเราเถิดผู้เฒ่า ท่านทราบอะไรเกี่ยวกับความรู้แจ้งนี้บ้างไหม"
จังหวะนั้นชายชราเพียงแต่ปลดของที่แบกมาปล่อยให้หล่นลงพื้น…
ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงถามพระลูกศิษย์ว่า "พวกเจ้าคิดว่าชีวิตของคนเรานั้นยาวนานเท่าใด?"
พระรูปหนึ่งตอบอย่างมั่นใจว่า "โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ได้หลายสิบปี" พระพุทธองค์ได้ฟังจึงกล่าวว่า "เจ้ายังไม่เข้าใจ"
พระรูปต่อมาตอบว่า "ชีวิตคนเราเป็นดังต้นไม้ใบหญ้า เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึงก็งอกงามสดใส แต่กลับอ่อนแอ สูญสลายในฤดูหนาว" พระพุทธองค์ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า "เจ้าเข้าใจเพียงเปลือกนอกเท่านั้น"
พระรูปที่สามตอบว่า "ศิษย์กลับคิดว่าชีวิตคนเราแสนสั้นคล้ายดั่งแมลง เพิ่งเกิดมาตอนเช้า เมื่อถึงยามค่ำก็สิ้นใจ" พระพุทธองค์กล่าวชมเชยศิษย์ผู้นี้ว่า "นับว่าเจ้าเข้าใจถึงเนื้อในแล้ว"
ในตอนนั้นเอง พระอีกรูปหนึ่งก็กล่าวขึ้นมาว่า "อาจารย์ ศิษย์เห็นว่า ชีวิตของคนเรามีเพียงลมหายใจเข้า-ออก สั้นเพียงเท่านั้นเอง" ยามนี้พระพุทธองค์จึงแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า "ชีวิตคนเราแสนสั้น เพียงหนึ่งลมหายใจเข้า หนึ่งลมหายใจออก…
อุบาสกผู้หนึ่ง เดินทางมากราบอาจารย์เซนเจ้าโจว ทว่ามิได้นำของติดไม้ติดมือมาคารวะจึงเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อมาถึงได้กล่าวออกตัวว่า "ขออภัยพระอาจารย์ที่กระผมมามือเปล่า" อาจารย์เซนเจ้าโจวมองอุบาสกผู้นั้น พลางกล่าวว่า "ในเมื่อมามือเปล่า ก็จงวางลงเถิด"
อุบาสกได้ฟังก็งุนงงสงสัย เอ่ยปากว่า "ท่านอาจารย์ กระผมบอกแล้วว่ามิได้นำอะไรติดตัวมา แล้วท่านจะให้วางสิ่งใดกันเล่า?" อาจารย์เซนเจ้าโจวจึงบอกว่า "ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็จงถือมันกลับไปด้วยเถิด" อุบาสกยังคงไม่เข้าใจความนัย ถามว่า "กระผมไม่ได้เอาอะไรมา แล้วจะให้ถืออะไรกลับไป?"
อาจารย์เซนเจ้าโจวตอบว่า "เจ้าก็จงนำสิ่งที่เจ้าเรียกว่า 'ไม่มีอะไร' นั้นกลับไปอย่างไรล่ะ" อุบาสกยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ ได้แต่เอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า "เมื่อไม่มีอะไรแล้วจะถือได้อย่างไร?" ยามนี้ อาจารย์เซนเจ้าโจวจึงเพียงผงกศีรษะเล็กน้อยเท่านั้น…