อาจารย์เซนอู๋เซียง เดินทางจาริกธรรมไปทั่วทุกสารทิศ วันหนึ่งระหว่างการเดินทางเกิดกระหายน้ำขึ้นมา จึงได้มองหาแหล่งน้ำ เมื่อพบเข้าก็ปรากฏว่า มีชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังทำหน้าที่ควบคุมระหัดวิดน้ำอยู่ในบริเวณนั้น อาจารย์เซนอู๋เซียงจึงเอ่ยปากขอน้ำดื่ม
ชายหนุ่มผู้นั้น เมื่อพบเห็นอาจารย์เซน ก็ใช้สายตามอง พร้อมทั้งเอ่ยปากว่า
"อาจารย์เซน หากวันหนึ่งข้าละทางโลกก็จะออกบวชเช่นกัน แต่เมื่อถึงวันนั้นข้าจะเสาะหาที่เร้นกาย ตั้งใจนั่งสมาธิศึกษาธรรม ไม่มีทางออกเดินทางเร่ร่อนไปเรื่อย เหมือนท่านในตอนนี้"
อาจารย์เซนจึงถามชายหนุ่มผู้นั้นกลับไปว่า "แล้วเมื่อใดกันเล่าที่เจ้าจะละทางโลกได้"
ชายหนุ่มตอบว่า "นับคนรุ่นเดียวกัน มีเพียงข้าที่ทราบหลักการทำงานของระหัดวิดน้ำอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการจ่ายน้ำคนเดียวของหมู่บ้าน หากวันใดวันหนึ่ง ปรากฏผู้มารับช่วงต่อหน้าที่นี้แทนข้า ถึงตอนนี้ข้าก็จะหมดภาระและสามารถออกบวชได้"
อาจารย์เซนยังคงถามต่อไปว่า
"เจ้าบอกว่าเจ้าแม่นในหลักการของระหัดวิดน้ำที่สุด อย่างนั้นเราถามเจ้า หากระหัดวิดน้ำจมลงไปในน้ำทั้งหมด หรือไม่ก็ไม่กระทบถูกน้ำเลยแม้แต่ส่วนเดียว จะเกิดอะไรขึ้น?"
ชายหนุ่มตอบโดยไม่ต้องคิดว่า
"การทำงานของระหัดวิดน้ำ ย่อมต้องให้ครึ่งหนึ่งอยู่ในน้ำ ครึ่งหนึ่งอยู่เหนือน้ำ หากจมลงไปในน้ำทั้งหมด นอกจากจะไม่สามารถหมุนได้แล้ว ยังจะหักพังไหลไปตามน้ำ ในทางกลับกันหากระหัดวิดน้ำไม่มีส่วนไหนจมน้ำเลย ก็ไม่สามารถวิดน้ำขึ้นมาได้"
เมื่อชายหนุ่มกล่าวจบ อาจารย์เซนจึงบอกว่า
"ความสัมพันธ์ของระหัดกับสายน้ำ ก็เหมือนความสัมพันธ์ของมนุษย์กับโลก หากคนผู้หนึ่งคลุกคลีจมจ่อมอยู่ในโลกิยะอย่างเต็มตัว ย่อมถูกเกลียวคลื่นแห่งโลกีย์พัดพาไปอย่างง่ายดาย แต่ในทางกลับกัน ชีวิตที่ขาวสะอาดปราศจากการข้องแวะกับเรื่องราวความเป็นไปทางโลก ก็คล้ายดั่งไร้ราก เพราะเมื่อไม่รู้จักไม่เข้าใจว่าทางโลกเป็นอย่างไร ก็ยากที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์หรือกิเลสตัณหาได้"
ยังมีอารามเซนสองแห่งตั้งอยู่ใกล้กัน ยามที่เณรน้อยจากอารามหลังแรกจะเดินไปตลาด จะต้องผ่านอารามหลังที่สอง ซึ่งมีเณรน้อยอีกผู้หนึ่งที่มักจะออกมาล้อเลียนเป็นประจำ
วันหนึ่ง เณรน้อยจากอารามหลังที่หนึ่ง ออกเดินไปตลาดเหมือนเช่นเคย เณรจากอารามหลังที่สองจึงออกมาร้องถามว่า "ท่านจะไปไหน?" "เท้าไปที่ใด เราก็ไปที่นั่น" เณรจากอารามหลังแรกตอบ
เมื่อได้ฟังคำตอบ เณรจากอารามหลังที่สองก็อับจนถ้อยคำ บ่ายวันนั้นเขาจึงกลับไปขอให้อาจารย์ของตนแนะนำ
หลังจากได้ฟังเรื่องราว อาจารย์จึงแนะว่า
"วันรุ่งขึ้น หากเขาตอบเจ้าเช่นเดิม เจ้าก็จงถามกลับไปว่า 'หากไม่มีเท้า แล้วท่านจะไปไหนได้เล่า' รับรองว่าเณรผู้นั้นต้องหมดคำโต้ตอบแน่"
วันรุ่งขึ้น เณรจากอารามหลังที่สองจึงได้ไปดักรอที่เดิม เมื่อเณรจากอารามหลังที่หนึ่งเดินผ่านมา เขาจึงรีบเอ่ยถามว่า
"วันนี้ท่านจะไปไหน?" จากนั้นเตรียมโต้ตอบด้วยคำที่อาจารย์เสี้ยมสอนมาอย่างดี
ปรากฏว่าเณรผู้ไปตลาดกลับตอบว่า "ลมไปที่ใด เราก็ไปที่นั่น"
ได้ยินดังนั้น เณรจากอารามหลังที่สองรู้สึกผิดคาด จึงไม่อาจตอบอะไรได้อีก ตกบ่ายได้แต่กลับไปขอคำชี้แนะจากอาจารย์เช่นเดิม
คราวนี้อาจารย์เริ่มไม่พอใจ ตำหนิศิษย์ว่า "เจ้าช่างโง่งมนัก เหตุใดไม่ถามกลับไปว่า 'แล้วถ้าไม่มีลมพัด ท่านจะไปที่ใด' แล้วถ้าคราวหน้าเณรผู้นั้นเปลี่ยนถ้อยคำเป็นเรื่องใด เจ้าก็จงใช้ถ้อยคำนั้นตอบกลับ เช่น 'น้ำไหลไปไหน เราก็ไปที่นั้น' เจ้าก็จงถามไปว่า 'ถ้าไม่มีน้ำ ท่านจะไปอย่างไร' เข้าใจหรือไม่?"
ได้ฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ เณรน้อยจากอารามหลังที่สองยินดียิ่งนัก หมายมั่นปั้นมือว่าคราวหน้าต้องทำให้เณรจากอารามหลังแรกอับจนถ้อยคำให้จงได้
วันรุ่งขึ้น เมื่อเณรซื้อผักเดินผ่านมา เณรจากอารามหลังที่สองก็ร้องถามด้วยความกระหยิ่มใจว่า "วันนี้ เณรน้อยท่านจะไปที่ไหน?"
มิคาด…
อาจารย์เซน นามซือหม่า ต้องการคัดเลือกพระลูกวัด ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ยังวัดแห่งหนึ่งบนภูเขาต้าเหวย และเพื่อคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด จึงได้ลั่นระฆังเรียกพระมารวมตัวกันยังลานวัด จากนั้นถามคำถามข้อหนึ่งให้ทุกคนตอบ
อาจารย์เซนชูคนโทน้ำขึ้นมาใบหนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “สิ่งนี้ไม่ใช่คนโทน้ำ แต่เป็นอะไร?”
บรรดาพระลูกวัดต่างจ้องมองด้วยความงงงวย ไร้ซึ่งคำตอบ เนื่องเพราะสิ่งที่อาจารย์เซนถืออยู่นั้น ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นคนโทน้ำ หากไม่ให้ตอบว่าคนโทน้ำ ก็มิทราบจะตอบอย่างไรดี
ขณะนั้นเอง มีพระรูปหนึ่งนามว่าหลิงโย่ว ซึ่งทำหน้าที่ผ่าฟืน จุดไฟ หุงอาหารภายในวัด กล่าวโพล่งขึ้นมาว่า
“ขอให้ศิษย์ลองตอบดูสักครั้ง”
บรรดาพระรูปอื่นๆ เห็นพระรูปนี้ท่าทางทึ่มทื่อ จึงพากันหัวเราะขบขัน
พระหลิงโย่วก้าวออกมาข้างหน้า รับเอาคนโทน้ำมาจากอาจารย์เซน แล้ววางลงบนพื้น จากนั้นพลันเตะคนโทน้ำ จนกระเด็นกระดอนหายลับจากกำแพงวัดไป
อาจารย์เซนเห็นดังนั้น จึงกล่าวว่า “เจ้าสมควรรับตำแหน่งเจ้าอาวาสแห่งวัดต้าเหวย”
บรรดาพระลูกวัดยังคงขบคิดไม่เข้าใจ อาจารย์เซนจึงกล่าวว่า “ในเมื่อมิใช่คนโทน้ำ ก็จงเตะทิ้งไปเสีย ที่แท้เป็นสิ่งใดล้วนไม่จำเป็นต้องไถ่ถามให้มากความ”
ปัญญาเซน : ในชีวิตคนเราล้วนเผชิญกับปัญหา หรือทางเลือกที่ยากจะตัดสินใจมากมาย ทั้งที่แท้จริงแล้ว “การเลือก” นั้นง่ายดาย เพียงเตะสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับชีวิตของตนเอง ออกไปให้พ้นทาง ย่อมพบคำตอบที่ถูกต้องในที่สุด
ในการแสดงธรรมครั้งหนึ่ง พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้เล่าถึงเรื่องราวหนึ่งไว้ว่า...
พ่อค้าวาณิชย์ฐานะร่ำรวยผู้หนึ่งมีภรรยาทั้งสิ้น 4 นาง
ภรรยาคนแรกฉลาดปราดเปรียวน่ารัก คอยติดตามใกล้ชิดเสามีตลอดเวลา ไม่เคยห่างแม้เพียงก้าวเดียว
ภรรยาคนที่สอง พ่อค้าได้มาจากการช่วงชิง บังคับ เนื่องเพราะนางมีรูปโฉมงดงามยิ่ง
ภรรยาคนที่สาม เป็นผู้คอยดูแลจัดการเรื่องราวความเป็นไปจุกจิกในชีวิตประจำวัน ทำให้สามีมีชีวิตที่สงบเรียบร้อย
ส่วนภรรยาคนสุดท้าย ขยันขันแข็ง มุมานะทำงานอย่างหนัก จนทำให้พ่อค้าผู้เป็นสามี หลงลืมการดำรงอยู่ของนางไป
ครั้งหนึ่ง พ่อค้าวาณิชย์จำเป็นต้องออกเดินทางไปไกลแสนไกล เขาจึงคิดที่จะให้ภรรยาคนใดคนหนึ่งติดตามไปดูแล เมื่อเขาเอ่ยปากต่อภรรยาทั้งสี่นาง
ภรรยาคนแรกก็ชิงกล่าวว่า “ท่านเดินทางไปเองเถิด เพราะข้าไม่ต้องการไปด้วย”
ภรรยาคนที่สองกล่าวว่า “เดิมทีข้าก็เป็นภรรยาท่านเพราะถูกช่วงชิง บังคับ มิได้เต็มใจแต่แรก ดังนั้น แน่นอนว่าข้าไม่ต้องการตามท่านไป”
ภรรยาคนที่สามกล่าวว่า “แม้ว่าข้าจะเป็นภรรยาของท่าน แต่ข้าก็ไม่อยากทุกข์ทรมาน เดินทางออกไปนอนกลางดินกินกลางทราย ดังนั้น อย่างมากที่สุด ข้าสามารถเดินทางไปส่งท่านยังชานเมือง"
ภรรยาคนสุดท้ายกล่าวว่า “ในเมื่อข้าเป็นภรรยาของท่าน ไม่ว่าท่านจะไปที่ใด ข้าล้วนต้องติดตามท่านไป”
ดังนั้น พ่อค้าผู้ร่ำรวยจึงได้พาภรรยาคนที่สี่ออกเดินทางไปด้วยกัน
ในตอนท้าย พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้เอ่ยกับเหล่าพระสาวกว่า “ทุกท่านทราบหรือไม่ว่า พ่อค้าวาณิชย์ผู้นี้คือใคร?”
จากนั้นจึงกล่าวว่า “ย่อมคือตัวของท่านเอง”
ภรรยาคนแรก หมายถึง ร่างกายเลือดเนื้อ เมื่อคนเราตายไปร่างกายย่อมเน่าเปื่อย ไม่อาจติดตามไปด้วย
Xภรรยาคนที่สอง หมายถึง ทรัพย์สมบัติเงินทอง ซึ่งแต่เดิมเกิดมาล้วนไม่ได้มาด้วย แม้จะอยากได้จนต้องแย่งชิงมาเป็นของตน แต่เมื่อตายไปก็ไม่อาจนำไปด้วย…
ยังมีอาจารย์เซนผู้เลื่องชื่อแห่งแดนอาทิตย์อุทัยนาม “ไป๋อิ่น” ซึ่งในสายตาของผู้คนในละแวกนั้นเห็นว่า ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทั้งยังเปี่ยมเมตตา
ครั้งหนึ่ง บุตรีของเพื่อนบ้านเกิดตั้งครรภ์โดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน ทำให้บิดามารดาของนางโกรธมาก และขู่เข็ญให้นางสารภาพว่า บิดาของเด็กในครรภ์คือใคร
ทว่าเป็นตายอย่างไร นางก็ไม่ยอมบอก สุดท้ายภายใต้การบังคับของบุพการี นางจึงบอกว่า บิดาของเด็กในครรภ์คืออาจารย์เซนไป๋อิ่น
เมื่อทราบความ บิดามารดาของสตรีนางนั้นจึงเกิดบันดาลโทสะ เดินทางมาต่อว่าอาจารย์เซนอย่างหยาบคาย บรรดาชาวบ้านใกล้เคียงที่หมดศรัทธาต่อนักบวชรูปนี้ ก็พากันมารุมประณาม ทว่าอาจารย์เซนไป๋อิ่นเพียงกล่าวคำเดียวว่า
"อย่างนั้นหรอกหรือ?" จากนั้นจึงรับปากอุปการะเด็กที่จะเกิดมา
เมื่อทารกถือกำเนิดขึ้นมา อาจารย์เซนก็รับมาอาศัยอยู่ที่อารามเซน ทั้งยังรับผิดชอบดูแลทารกน้อยไม่ขาดตกบกพร่อง
เวลาผ่านไปราว 1 ปี สตรีผู้เป็นมารดาของทารกน้อยอดรนทนไม่ไหว สุดท้ายก็สารภาพต่อบุพการีของตนเอง ว่าที่แท้แล้วสามีของนางคือชายหนุ่มเพื่อนบ้านผู้หนึ่งที่มีฐานะยากจนมาก ในตอนแรกนางกลัวว่า บุพการีจะไม่ยอมรับลูกเขย จึงได้สร้างเรื่องเท็จใหญ่โต จนเดือดร้อนไปถึงอาจารย์เซน
เมื่อความจริงเปิดเผย บิดามารดาของสตรีผู้นั้นต่างตกตะลึง ทั้งหมดรีบเดินทางไปกราบขอขมาอาจารย์เซน ด้วยความสำนึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ขณะเดียวกันชาวบ้านที่ทราบความจริง ต่างก็เดินทางไปขออภัยที่เคยพูดจาล่วงเกินอาจารย์เซนไป๋อิ่นเอาไว้อย่างมากมาย
ทว่าเมื่อฟังความจบ อาจารย์เซนยังคงสงบสำรวม จากนั้นกล่าวเพียงประโยคเดียวว่า "อย่างนั้นหรอกหรือ?" และมอบเด็กทารกคืนให้แก่สตรีผู้นั้นไป
ปัญญาเซน : การไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก มีลาภ-เสื่อมลาภ มียศ-เสื่อมยศ สรรเสริญ-นินทา สุข-ทุกข์ ล้วนไม่จีรัง จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรมจึงจะเป็นมงคลชีวิตแก่ตน
ยังมีอุบาสกผู้หนึ่งเดินอยู่บริเวณริมหาดทราย พบเห็นคนเรือกำลังลากเรือจากหาดทรายลงน้ำเพื่อเตรียมโดยสารคนออกไป ยามนั้นเองอาจารย์เซนเดินผ่านมา อุบาสกผู้นี้จึงเข้าไปเอ่ยถามอาจารย์เซนว่า "ท่านอาจารย์ เมื่อตะกี้คนเรือลากเรือจากหาดทรายลงไปในน้ำเพื่อรับผู้โดยสาร ทำให้บรรดากุ้ง หอย ปู ปลา ริมหาดโดนเรือทับตายไปเป็นจำนวนมาก ไม่ทราบว่าในกรณีนี้บาปกรรมจะตกอยู่ที่คนเรือหรืออยู่ที่ผู้โดยสารกันแน่?"
อาจารย์เซนไม่ขบคิดให้มากความ กล่าวตอบว่า "ไม่ใช่บาปของผู้โดยสาร และไม่ใช่บาปของคนเรือ"
"สองฝ่ายล้วนไม่บาป เช่นนั้นบาปกรรมอยู่ที่ใครเล่า?" อุบาสกยังคงไม่กระจ่าง ถามต่อไป
มิคาด อาจารย์เซนกลับจ้องอุบาสกพลางตอบว่า "บาปกรรมล้วนตกอยู่ที่ตัวท่าน!"
คนเรือทำงานสุจริตหาเลี้ยงชีพ ผู้โดยสารเพียงหวังโดยสารเรือออกเดินทาง กุ้ง หอย ปู ปลา ซ่อนตัวอยู่ใต้ผืนทรายจึงโดนเรือทับ กรรมมิใช่เพียงสองฝ่ายแต่เป็นสามฝ่าย ทั้งคนเรือ ผู้โดยสาร และสัตว์ใต้ทราย ทว่าจะนับเป็นบาปของผู้ใด? เมื่อทั้งสามฝ่ายล้วนไร้จิตเจตนา "บาปสร้างจากจิต เมื่อไร้จิต ใยเกิดบาปกรรม" ทว่าอุบาสกเจตนาหาผิดบาปจากความไม่มี เมื่อมีจิต บาปกรรมจึงตกแก่ตัวของเขาเอง
ยังมีแม่ทัพใหญ่ผู้หนึ่ง ในใจมีคำถามที่ขบคิดไม่เข้าใจอยู่ 3 ประการ จึงได้ตัดสินใจปลอมแปลงตนเองด้วยเครื่องแต่งกายของชาวบ้านธรรมดา แล้วออกเดินทางขึ้นเขา เพื่อไปขอให้อาจารย์เซนชี้แจงแถลงคำตอบของปัญหาทั้ง 3 ข้อนี้ต่อเขา
เมื่อแม่ทัพเสาะหาจนพบอาจารย์เซนกำลังขุดดินดายหญ้าอยู่ในแปลงผัก แม่ทัพจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า
“ข้ามีปัญหารบกวนจิตใจอยู่ 3 ประการที่ต้องการคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ ข้อแรกคือ เวลาใด ที่สำคัญที่สุด? ข้อสองคือ ในการร่วมกันทำงานนั้น บุคคลที่สำคัญที่สุดคือใคร? ข้อสุดท้ายคือ สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรกระทำคืออะไร?”
ทว่าอาจารย์เซนไม่เพียงไม่ตอบคำถาม แต่ยังก้มหน้าก้มตาขุดดินดายหญ้าต่อไป ฝ่ายแม่ทัพเห็นว่าอาจารย์เซนอายุมาก ทั้งยังผอมแห้งแรงน้อย จึงอาสาช่วยขุดดินแทนให้ พร้อมทั้งกล่าวกับอาจารย์เซนว่า
“หากท่านอาจารย์ไม่มีคำตอบให้ข้า ขอเพียงเอ่ยปาก ข้าก็จะเดินทางกลับ”
ทว่าอาจารย์เซนยังคงเงียบงัน แม่ทัพจึงขุดดินดายหญ้าต่อไปเรื่อยๆ
จากนั้นไม่นาน ปรากฏชายผู้หนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส โซซัดโซเซมาถึงเบื้องหน้าคนทั้งสอง จากนั้นจึงสลบไป แม่ทัพจึงรีบประคองชายผู้นั้นไปพักผ่อนยังเพิงหญ้าคา ทั้งยังทำแผลให้และคอยเฝ้าดูอาการจนวันรุ่งขึ้น
วันรุ่งขึ้น เมื่อชายผู้ได้รับบาดเจ็บฟื้นขึ้นมาพบหน้าแม่ทัพใหญ่ ได้เอ่ยปากขออภัยในทันที ส่วนแม่ทัพกลับไม่ทราบว่าเป็นเรื่องราวใด ชายผู้นั้นจึงอธิบายว่า
“ในสงครามครั้งหนึ่ง ท่านเคยสังหารน้องชายของข้า บัดนี้เมื่อข้าทราบว่าท่านเดินทางขึ้นเขา จึงสบโอกาสคิดมาลอบสังหารท่าน มิคาด..กลับโดนผู้ติดตามของท่านทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส แรกทีเดียวคิดว่าต้องตายแน่นอน แต่สุดท้ายกลับเป็นท่านอีกเช่นกันที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ดังนั้น…
ยังมีศิษย์เซนผู้หนึ่ง เฝ้าพร่ำถามอาจารย์เซนทุกวันว่า “สิ่งใดคือคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา?” วันหนึ่งอาจารย์เซนเดินออกมาจากห้องพร้อมกับก้อนหินหนึ่งก้อน จากนั้นเอ่ยกับศิษย์เจ้าปัญหาว่า “เจ้าจงเอาก้อนหินก้อนนี้ไปเร่ขายยังท้องตลาด แต่ไม่จำเป็นต้องขายออกไปจริงๆเพียงแค่ทำให้มีผู้มาเสนอราคาขอซื้อ ก็เพียงพอแล้ว ลองดูสิว่าตลาดจะให้ราคาของก้อนหินก้อนนี้เท่าไหร่” ศิษย์เซนนำก้อนหินไปเร่ขายยังท้องตลาดมีคนเห็นว่าหินก้อนนี้ทั้งใหญ่และเรียบสว จึงให้ราคา 2 ตำลึง อีกผู้หนึ่งเห็นว่าหินก้อนนี้น่าจะนำไปทำเป็นลูกกลิ้งหรือลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักได้อย่างดีจึงให้ราคาถึง 10 ตำลึง หลังจากนั้นแม้ว่าจะมีผู้แวะเวียนเข้ามาชมดูก้อนหินมากมายแต่ราคาที่สูงสุดที่ได้จากท้องตลาดคือ 10 ตำลึงเมื่อศิษย์เซนนำก้อนหินกลับมายังวัดก็ถ่ายทอดเรื่องราวที่ตนเร่ขายก้อนหินธรรมดาๆ จนได้ราคาถึง 10 ตำลึงให้อาจารย์ฟังด้วยความยินดียิ่งเมื่อฟังจบ อาจารย์เซนเพียงแต่กล่าวว่า “เจ้าจงนำหินก้อนนี้ไปเร่ขายอีกครั้ง ยังตลาดค้าทอง” ศิษย์เซนจึงเดินทางไปยังตลาดค้าทอง จากนั้นนำก้อนหินออกมาเร่ขาย คราวนี้เพียงแค่เริ่มต้นก็มีผู้เสนอราคาก้อนหินถึง 1 พันตำลึง จากนั้นราคาก็ขึ้นมาเป็น 1 หมื่นตำลึงและสุดท้ายจบลงที่ราคาสิบหมื่นตำลึง เมื่อศิษย์เซนเห็นผลลัพธ์เกินความคาดหมายถึงเพียงนั้นจึงรีบกลับมารายงานอาจารย์เซน ทว่าอาจารย์เซนเพียงกล่าวว่า “พรุ่งนี้เจ้าจงนำก้อนหินก้อนนี้ไปเร่ขายยังตลาดค้าเพชรพลอย ซึ่งเป็นตลาดระดับสูงที่สุดดู”เมื่อศิษย์เซนนำก้อนหินไปเร่ขายตามคำสั่งของอาจารย์ พบว่าราคาของก้อนหินขึ้นพรวดพราดไปเรื่อยๆจากสิบหมื่นตำลึงเป็น ยี่สิบหมื่นตำลึง สามสิบหมื่นตำลึง จนกระทั่งมีผู้เข้าใจว่า ที่ศิษย์เซนยังไม่ยอมตกลงใจขายก้อนหินเป็นเพราะยังไม่ได้ราคาเหมาะสมจึงเสนอให้ตั้งราคาขึ้นมาเองตามใจชอบอย่างไม่อั้นได้เลยว่าจะขายที่ราคาเท่าไหร่ ศิษย์เซนได้แต่อธิบายต่อผู้คนที่สนใจซื้อก้อนหินว่า ตนทำตามคำสั่งอาจารย์ มิอาจขายก้อนหินออกไปจริง ๆ ได้ จากนั้นจึงเดินทางกลับวัดพร้อม ทั้งบอกอาจารย์เซนว่า "ตอนนี้ราคาของก้อนหินพุ่งขึ้นไปถึงหลักสิบหมื่นตำลึงแล้ว” เมื่ออาจารย์เซนฟังจบ จึงกล่าวว่า “นั่นก็ใช่แล้วที่ข้าไม่อาจสั่งสอนเจ้าได้ว่าชีวิตมีคุณค่าเพียงใดก็เพราะนั่นจะเป็นการตีราคาชีวิตของเจ้าโดยผ่านมุมมองภายนอกไม่ต่างจากการตีราคาก้อนหิน ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้วคุณค่าของมนุษย์ทุกคนล้วนต้องกระจ่างอยู่ภายในจิตใจ ของคนผู้นั้นเอง จงมีสายตาแหลมคมดั่งนักค้าเพชรพลอยเสียก่อนจึงจะสามารถเห็นซึ้งถึงคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา”
ปัญญาเซน : มนุษย์ทุกคนล้วนมีคุณค่าอยู่ในตัวเอง จงตระหนักในคุณค่าแห่งตน ยอมรับตนเอง ฝึกฝนตนเอง…
ซามูไรผู้หนึ่งมีลูกชาย 3 คน ต่างก็มีความเชี่ยวชาญในเชิงซามูไร พอถึงวาระที่ซามูไรผู้พ่อจะต้องมอบตราประจำตระกูล ให้ลูกชายเพื่อสืบทอดต่อไปนั้น เขาก็ใช้วิธีทดสอบความสามารถของลูกๆ ทั้ง 3 คน ซามูไรผู้พ่อคิดวิธีได้แล้วก็เข้าไปนั่งอยู่ในห้องแล้วหับประตูไว้ ประตูห้องแบบญี่ปุ่นเป็นแบบฉากเลื่อนและบนประตูแบบฉากเลื่อนนี้เอง ซามูไรผู้พ่อก็นำเอาหมอนลูกหนึ่งขึ้นไปวางไว้แล้วแกก็เรียกให้ลูกชายเข้าไปหาทีละคน
ลูกชายคนโตถูกเรียกก่อน เมื่อเดินไปถึงประตูเลื่อนพอขยับประตูก็มองเห็นหมอนอยู่ข้างบนจึงเอื้อมมือไปหยิบแล้วเลื่อนประตูเข้าไปหาพ่อ ซามูไรผู้พ่อสั่งให้เอาหมอนไปไว้ที่เดิมแล้วให้นั่งรออยู่ในห้อง
ลูกชายคนกลางถูกเรียกเป็นคนต่อไป เมื่อเดินไปถึงประตูก็เลื่อนประตูเปิด ทันใดนั้นหมอนก็ตกลงมาลูกชายคนกลางรีบรับเอาไว้ทันทีโดยแทบไม่มีเสียงเลยแล้วจึงเดินเขาไปหาพ่อ ซามูไรผู้พ่อจึงสั่งให้เอาหมอนไปวางไว้ที่เดิมแล้วให้นั่งรออยู่ในห้องเช่นกัน
ลูกชายคนเล็กถูกเรียกเป็นคนสุดท้ายพอเดินถึงประตูก็เลื่อนเปิดทันที หมอนก็ตกลงมา แว็บเดียวดาบซามูไรก็ปลิวออกจากฝักในชั่วพริบตา หมอนถูกฟันจนนุ่นปลิวว่อนแล้วเสียบดาบลงฝักเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แทบไม่มีใครเห็นใบดาบซามูไรเลยก็ว่าได้แล้วลูกชายคนเล็กก็เดินอย่างสง่าและสงบเข้าไปหาพ่อ ถ้าเป็นท่าน ๆจะมอบตำแหน่งให้ลูกคนไหน ?
ซามูไรผู้พ่อได้พูดกับลูกทั้งสามว่า “เจ้าเล็ก เจ้าใช้ดาบได้รวดเร็วดังใจ เจ้าใช้ใจ” “เจ้ากลาง เจ้ารู้วิธีใช้มือแทนดาบได้ เจ้าใช้มือ” “เจ้าโต เจ้ารอบคอบรู้การควรไม่ควรก่อนทำการทั้งปวงเจ้าใช้หัวหรือปัญญา ไม่ได้ใช้ดาบเพียงอย่างเดียวพ่อขอมอบดาบประจำตระกูลให้เจ้าจงปกครองคนในตระกูลแทนพ่อสืบต่อไป”
มีพระพรรษามากกับพรรษาน้อยสองรูปเดินทางไปด้วยกัน จนกระทั่งทั้งคู่ต้องข้ามแม่น้ำขนาดใหญ่ จำเป็นต้องเดิน ข้ามเพราะสะพานข้ามแม่น้ำขาดเสียหาย
พระทั้งสองรูปพบผู้หญิงผู้หนึ่งคนซึ่งไม่สามารถข้ามแม่น้ำ ไปได้เนื่องจากสะพานขาดนั้นพระพรรษามากจึงอาสาจะ ให้ผู้หญิงนั้นขี่หลังแล้วข้ามฟากไป พระพรรษาน้อยเห็น อย่างนั้นจึงรู้สึกขุ่นเคืองว่าทำไมพระพรรษามากจึงทำ อย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่เป็นพระไม่ควรจะสัมผัสหรือใกล้ชิด ผู้หญิงขนาดนี้ แต่ก็คิดอยู่ในใจไม่ได้ถามพระพรรษามาก
หลังจากที่ข้ามฟากเสร็จพระทั้งสองรูปและผู้หญิงต่างก็ แยกย้ายไปตามทางของตนแต่ในใจของพระพรรษาน้อย ยังคงคิดวนเวียนตั้งคำถามในใจตลอดเวลาว่าการกระทำ ของพระพรรษามากนั้นไม่เป็นการสมควรกับนักบวชคิด วุ่นวายอยู่อย่างนั้นเก็บเงียบอยู่ในใจไม่ถามพระพรรษามาก
ท่านคิดวนเวียนอยู่อย่างนั้นทำให้ท่านแทบบ้าจนมาถึงจุด หยุดพักพระพรรษาน้อยอดทนเก็บเรื่องในใจต่อไปอีก ไม่ไหวจึงถามพระพรรษามากกว่าท่าน ทำไมไม่สำรวมถึง ความเป็นพระเลย ทำไมถึงได้สัมผัสผู้หญิงและผู้หญิง คนนั้นเป็นคนสวยเสียด้วย ท่านเป็นคนบอกผมเองว่าท่าน เป็นพระที่บริสุทธิ์ไม่ใช่หรือ?
พระพรรษามากประหลาดใจแล้วย้อนกลับไปถาม พระพรรษาน้อยว่า “ผมวางผู้หญิงสวยคนนั้นไปตั้งหลายชั่วโมงแล้ว เหตุใดท่านยังอุ้มผู้หญิงคนนั้นอยู่อีกเล่า”