himahime, Author at Tale of Neko Hima Hime https://nekohimahime.online/author/himahime/ รวบรวมนิทานทั่วโลก ทั้งแบบอ่านและนิทานเสียง อ่านฟรี ฟังฟรี @mamachomhomecafe Wed, 22 Feb 2023 08:16:42 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 https://nekohimahime.online/wp-content/uploads/2021/07/cropped-cropped-211933247_1645437839180149_1144222499135360965_n-32x32.jpg himahime, Author at Tale of Neko Hima Hime https://nekohimahime.online/author/himahime/ 32 32 ราพันเซล (Rapunzel) https://nekohimahime.online/2022/11/04/%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%8b%e0%b8%a5-rapunzel/ https://nekohimahime.online/2022/11/04/%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%8b%e0%b8%a5-rapunzel/#respond Fri, 04 Nov 2022 05:54:06 +0000 https://nekohimahime.online/?p=1543 กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสามีภรรยาชาวสวนคู่หนึ่งครองรักกันมานาน ฝ่ายภรรยานั้นกำลังตั้งครรภ์ลูกคนแรก และแพ้ท้องอยากกินหัวผักกาด เธอเฝ้ามองแปลงผักกาดของบ้านข้าง ๆ ทุกวันจากหน้าต่างบ้านชั้น 2 แต่ไม่มีใครกล้าไปเอาผักกาดเหล่านั้น เพราะสวนที่ว่าเป็นของแม่มดใจร้าย “ฉันอยากกินหัวผักกาดในแปลงนั้น” วันหนึ่งภรรยาได้เอ่ยปากบอกสามีของเธอ “เธอก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ สวนนั้นเป็นของแม่มด” สามีขัด “แต่ฉันต้องการมัน ถ้าไม่ได้กิน ฉันจะไม่กินอะไรเลย และฉันก็จะตาย” ภรรยาเว้าวอน จนทำให้ชาวนาใจอ่อน กลางดึกคืนนั้นชาวนาได้ปีนข้ามรั้วไปขโมยหัวผักกาดมาหนึ่งหัวเพื่อให้ภรรยาได้กิน ทว่าเมื่อได้ลิ้มรสผักแสนอร่อย เธอก็ต้องการกินมันมากขึ้น คืนถัดมาเขาจึงต้องปีนไปขโมยหัวผักกาดมาให้ภรรยาของเขาอีกครั้ง “หยุด ! เจ้าคิดว่ากำลังทำอะไรอยู่” แม่มดเจ้าของสวนแผดเสียงอันดังถามขึ้น“เอ่อ ข้า… มาเอาผักกาดให้ภรรยาข้า” ชาวนาตอบ“ขโมย !! เจ้าต้องชดใช้”“ได้โปรด” ชาวนาเอ่ยด้วยความกลัว เขาขอร้องแม่มด “ภรรยาของข้ากำลังท้อง เธออยากกินผักกาดมาก ให้ข้าทำอะไรข้ายอมหมด”“ทุกอย่างงั้นหรือ” แม่มดยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าอย่างนั้นเอาผักกาดไปได้ตามที่ต้องการ แต่เมื่อภรรยาเจ้าคลอดออกมา เด็กคนนั้นต้องเป็นของข้า”“ไม่มีทาง” ชาวนาตะโกนความโกรธ“เจ้าไม่มีทางเลือกแล้ว” แม่มดหัวเราะเย้ยหยัน ก่อนจะเดินหายไป หลังจากนั้นไม่นาน ภรรยาของชาวนาก็คลอดลูก เป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก เมื่อแม่มดทราบข่าวก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วขโมยเด็กคนนั้นไปทันที เธอตั้งชื่อเด็กน้อยว่า ราพันเซล และให้ราพันเซลอยู่บนหอคอยสูง ยิ่งนับวันราพันเซลก็ยิ่งสวยสะพรั่ง โดยเฉพาะผมสีทองของเธอที่ยาวเหยียด…

The post ราพันเซล (Rapunzel) appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสามีภรรยาชาวสวนคู่หนึ่งครองรักกันมานาน ฝ่ายภรรยานั้นกำลังตั้งครรภ์ลูกคนแรก และแพ้ท้องอยากกินหัวผักกาด เธอเฝ้ามองแปลงผักกาดของบ้านข้าง ๆ ทุกวันจากหน้าต่างบ้านชั้น 2 แต่ไม่มีใครกล้าไปเอาผักกาดเหล่านั้น เพราะสวนที่ว่าเป็นของแม่มดใจร้าย

“ฉันอยากกินหัวผักกาดในแปลงนั้น” วันหนึ่งภรรยาได้เอ่ยปากบอกสามีของเธอ “เธอก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ สวนนั้นเป็นของแม่มด” สามีขัด “แต่ฉันต้องการมัน ถ้าไม่ได้กิน ฉันจะไม่กินอะไรเลย และฉันก็จะตาย” ภรรยาเว้าวอน จนทำให้ชาวนาใจอ่อน กลางดึกคืนนั้นชาวนาได้ปีนข้ามรั้วไปขโมยหัวผักกาดมาหนึ่งหัวเพื่อให้ภรรยาได้กิน ทว่าเมื่อได้ลิ้มรสผักแสนอร่อย เธอก็ต้องการกินมันมากขึ้น คืนถัดมาเขาจึงต้องปีนไปขโมยหัวผักกาดมาให้ภรรยาของเขาอีกครั้ง

“หยุด ! เจ้าคิดว่ากำลังทำอะไรอยู่” แม่มดเจ้าของสวนแผดเสียงอันดังถามขึ้น
“เอ่อ ข้า… มาเอาผักกาดให้ภรรยาข้า” ชาวนาตอบ
“ขโมย !! เจ้าต้องชดใช้”
“ได้โปรด” ชาวนาเอ่ยด้วยความกลัว เขาขอร้องแม่มด “ภรรยาของข้ากำลังท้อง เธออยากกินผักกาดมาก ให้ข้าทำอะไรข้ายอมหมด”
“ทุกอย่างงั้นหรือ” แม่มดยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าอย่างนั้นเอาผักกาดไปได้ตามที่ต้องการ แต่เมื่อภรรยาเจ้าคลอดออกมา เด็กคนนั้นต้องเป็นของข้า”
“ไม่มีทาง” ชาวนาตะโกนความโกรธ
“เจ้าไม่มีทางเลือกแล้ว” แม่มดหัวเราะเย้ยหยัน ก่อนจะเดินหายไป

หลังจากนั้นไม่นาน ภรรยาของชาวนาก็คลอดลูก เป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก เมื่อแม่มดทราบข่าวก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วขโมยเด็กคนนั้นไปทันที เธอตั้งชื่อเด็กน้อยว่า ราพันเซล และให้ราพันเซลอยู่บนหอคอยสูง ยิ่งนับวันราพันเซลก็ยิ่งสวยสะพรั่ง โดยเฉพาะผมสีทองของเธอที่ยาวเหยียด เป็นผมวิเศษที่มีพลังในการรักษา แม่มดรักผมของราพันเซลมาก เพราะมันทำให้เธอไม่มีวันแก่ แม่มดบังคับให้ราพันเซลอยู่แต่บนหอคอย สาธยายความเลวร้ายของโลกภายนอกให้ฟัง จนเด็กสาวนึกสงสัยว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร เธอต้องการจะหนี แต่ด้วยเวทมนตร์ของแม่มดที่เสกประตูและบันไดให้หายไป ราพันเซลจึงไปไหนไม่ได้ เพราะเหลือแต่หน้าต่างเล็ก ๆ เพียงบานเดียวเท่านั้น ทุก ๆ วันแม่มดจะมาหาราพันเซลแล้วพูดว่า “ราพันเซล ราพันเซล ปล่อยผมลงมา” แล้วปีนเส้นผมของราพันเซลขึ้นไปยังหอคอย นั่งหวีผมของเด็กสาว ฟังเธอร้องเพลง แล้วก็กลับลงมา

กระทั่งวันหนึ่ง ราพันเซลรู้สึกเศร้าสร้อยและเบื่อหน่ายที่จะต้องอยู่บนหอคอยแห่งนี้ สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือร้องเพลง และเสียงเพลงของเธอก็ลอยไปจนเจ้าชายที่ขี่ม้าผ่านมาได้ยินเสียงอันไพเราะพอดี เขาตามมาจนถึงหอคอยแล้วก็ต้องแปลกใจว่าไม่มีทางไหนที่จะขึ้นไปหาเจ้าของเสียงหวานนั้นได้เลย เจ้าชายมายังหอคอยหลายต่อหลายวัน เฝ้าสังเกตว่าจะมีทางไหนบ้างที่ทำให้เขาได้ขึ้นไปบนนั้น จนกระทั่งได้เห็นหญิงชราคนหนึ่งเดินมายังที่แห่งนั้นแล้วตะโกนว่า “ราพันเซล ราพันเซล ปล่อยผมลงมา” เจ้าชายจึงรู้ได้ทันทีว่าเขาจะต้องทำอย่างไรต่อไป

หลังจากที่แม่มดกลับลงมา เจ้าชายได้เดินไปที่หอคอยก่อนจะดัดเสียงให้คล้ายแม่มดที่สุด แล้วตะโกนขึ้นว่า “ราพันเซล ราพันเซล ปล่อยผมลงมา” ราพันเซลประหลาดใจว่าทำไมแม่มดถึงกลับมาอีกรอบ แต่ก็ปล่อยผมลงไป ทว่าเธอต้องตกใจสุดขีดเมื่อคนที่ขึ้นมากลับเป็นเจ้าชายรูปงาม เธอไม่เคยเจอคนอื่นมาก่อนนอกจากแม่มด ราพันเซลทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัว แต่เจ้าชายก็มีท่าทีเป็นมิตร เขาอธิบายว่าหลงใหลในเสียงร้องเพลงของเธอ บอกเล่าเรื่องราวที่สวยงามของโลกภายนอกให้เธอฟัง เจ้าชายอยู่กับราพันเซลหลายชั่วโมง และหลังจากนั้นเขาก็มาหาสาวน้อยอีกเป็นเวลาหลายวัน จนในที่สุดทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกัน และทำให้ราพันเซลต้องการจะหนีออกจากหอคอย

ทั้งสองวางแผนหนี โดยเจ้าชายได้นำผ้าไหมมาให้ราพันเซลถักเป็นบันไดเพื่อปีนหนีออกไป ราพันเซลเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้พูดคุยกับแม่มดถึงโลกภายนอกที่สวยงาม แม่มดจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “ข้าเบื่อที่จะพูดเรื่องนี้กับเจ้าแล้ว ! ยังไงเจ้าก็ต้องอยู่คนเดียว ที่นี่ ตลอดไป !” “ข้าไม่ได้อยู่คนเดียว !” ราพันเซลเผลอหลุดปาก แต่ก็รีบแก้ว่า “ข้าหมายถึง ข้ามีท่านอีกคน” แต่แม่มดไม่เชื่อ นางค้นหอคอยทุกซอกทุกมุมจนเจอเข้ากับบันไดถัก และเค้นเอาความจริงจากราพันเซลจนรู้ว่ามีเจ้าชายขึ้นมาหาเธอ

“เจ้าจะไม่ได้เจอเจ้าชายอีก !” แม่มดหยิบมีดขึ้นมาตัดผมของราพันเซล แล้วร่ายมนตร์ให้เธอหายไปยังทะเลทรายอันไกลแสนไกล ส่วนแม่มดก็จัดการผูกเปียเอาไว้ข้างหน้าต่าง แล้วเฝ้ารอคอยเจ้าชายมาที่หอคอยอีกครั้ง จากนั้นไม่นานเจ้าชายก็มา “ราพันเซล ราพันเซล ปล่อยผมลงมา” แม่มดจับเปียของราพันเซลแล้วปล่อยลงไปเบื้องล่าง และเมื่อเจ้าชายปีนขึ้นมาถึงก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหญิงชราหน้าตาน่ากลัว “ราพันเซลไปไหน เจ้าทำอะไรเธอ” เจ้าชายถาม “เจ้าจะไม่มีวันได้เจอราพันเซลอีก” แม่มดบอกก่อนผลักเจ้าชายตกลงไปด้านล่าง เจ้าชายตกลงไปยังพุ่มไม้ แม้ว่าร่างกายจะไม่ได้รับบาดเจ็บนัก แต่หนามแหลมคมก็ทิ่มตาเขาจนบอด

เจ้าชายตาบอดรอนแรมตามหาราพันเซลอยู่นานถึง 2 ปี เขาตะโกนเรียกชื่อของเธอไปทั่ว จนกระทั่งวันหนึ่งเจ้าชายได้ยินเสียงเพลงที่เคยคุ้นหู “นั่นเสียงของราพันเซล ข้าจำได้” เจ้าชายตามไปยังเสียงจนทั้งคู่ได้พบกัน “เจ้าชาย !” ราพันเซลร้องขึ้น โผเข้ากอดเจ้าชาย น้ำตาแห่งความปลื้มปีติของเธอไหลหล่นลงไปยังดวงตาของเจ้าชาย แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น ดวงตาของเจ้าชายกลับมามองเห็นอีกครั้ง

ทั้งคู่กอดกันด้วยความรักใคร่ ก่อนจะเดินทางกลับไปยังอาณาจักรของเจ้าชาย และเข้าพิธีอภิเษกสมรสกัน เจ้าชายกลายเป็นพระราชา และราพันเซลกลายเป็นพระราชินี ปกครองอาณาจักรอย่างมีความสุขตลอดไป

The post ราพันเซล (Rapunzel) appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
https://nekohimahime.online/2022/11/04/%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%8b%e0%b8%a5-rapunzel/feed/ 0
เจ้าหญิงนิทรา (Sleeping Beauty) https://nekohimahime.online/2022/11/04/%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%b2-sleeping-beauty/ https://nekohimahime.online/2022/11/04/%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%b2-sleeping-beauty/#respond Fri, 04 Nov 2022 04:36:40 +0000 https://nekohimahime.online/?p=1519 กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ อาณาจักรแห่งหนึ่งซึ่งปกครองโดยพระราชาและพระราชินี แม้จะสมบูรณ์พรั่งพร้อมทว่าพวกเขาทั้งสองไร้ซึ่งความสุข เนื่องจากไม่มีทายาทสืบสกุล จนกระทั่งเวลาผ่านไป พระราชินีได้ให้กำเนิดเจ้าหญิงผู้เลอโฉมองค์หนึ่ง ซึ่งนั่นทำให้พระราชารู้สึกปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างมาก จัดงานแสดงอย่างยิ่งใหญ่ ทรงเชิญนางฟ้าทั้งหมดในอาณาจักรให้เข้าร่วมงานตั้งชื่อสำหรับทารก ทั้งยังเตรียมสำรับแต่ละที่ด้วยภาชนะทองคำบริสุทธิ์ ทว่ามีภาชนะทั้งหมดเพียง 12 ชุดเท่านั้น พระราชาจึงตัดสินใจไม่เชิญนางฟ้าองค์ที่ 13 มาร่วมงาน เนื่องจากเธอหายสาปสูญไปเป็นเวลานานแล้วนิทานอีสป งานฉลองต้อนรับเจ้าหญิงองค์น้อยถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ นางฟ้าแต่ละองค์มอบพรอันแสนวิเศษ ทั้งความงาม ความฉลาด ความร่ำรวย และพรอีกมากมายที่สามารถดลบันดาลให้เจ้าหญิงเป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ทว่าในระหว่างที่นางฟ้าองค์ที่ 12 กำลังจะให้พรนั้น นางฟ้าองค์ที่ 13 กลับปรากฏตัวขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยวที่ไม่ได้รับเชิญ พร้อมเอ่ยคำสาปว่า “ข้าขอประกาศต่อหน้าพวกท่านทุกคน ในวันเกิดปีที่ 16 เจ้าหญิงจะถูกเข็มปั่นด้ายแทงนิ้วและสิ้นพระชนม์ !” นางฟ้าองค์ที่ 13 ประกาศด้วยเสียงอันดังก่อนที่จะหายตัวจากไป คำสาปของนางฟ้าใจร้ายทำให้ทุกคนในงานตกใจเป็นอย่างมาก แต่ในความโชคร้ายยังมีโชคดีหลงเหลืออยู่ เพราะนางฟ้าองค์ที่ 12 ยังไม่ได้ให้พรแก่เจ้าหญิง แม้ว่าเธอจะไม่สามารถแก้คำสาปได้ แต่ก็ผ่อนความร้ายแรงให้เบาลงได้ ดังนั้นเธอจึงมอบพรข้อสุดท้ายให้กับเจ้าหญิงว่า “เจ้าหญิงจะไม่สิ้นพระชนม์ แต่จะหลับใหลไปเป็นเวลา 100 ปี” แต่ถึงกระนั้นพระราชาก็มีรับสั่งให้เผาเครื่องปั่นด้ายทุกเครื่องในราชอาณาจักร เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหญิงไปสัมผัสกับเข็มแหลมที่จะคร่าชีวิตเธอไป จนเวลาล่วงเลยไปนานถึง 15…

The post เจ้าหญิงนิทรา (Sleeping Beauty) appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ อาณาจักรแห่งหนึ่งซึ่งปกครองโดยพระราชาและพระราชินี แม้จะสมบูรณ์พรั่งพร้อมทว่าพวกเขาทั้งสองไร้ซึ่งความสุข เนื่องจากไม่มีทายาทสืบสกุล

จนกระทั่งเวลาผ่านไป พระราชินีได้ให้กำเนิดเจ้าหญิงผู้เลอโฉมองค์หนึ่ง ซึ่งนั่นทำให้พระราชารู้สึกปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างมาก จัดงานแสดงอย่างยิ่งใหญ่ ทรงเชิญนางฟ้าทั้งหมดในอาณาจักรให้เข้าร่วมงานตั้งชื่อสำหรับทารก ทั้งยังเตรียมสำรับแต่ละที่ด้วยภาชนะทองคำบริสุทธิ์ ทว่ามีภาชนะทั้งหมดเพียง 12 ชุดเท่านั้น พระราชาจึงตัดสินใจไม่เชิญนางฟ้าองค์ที่ 13 มาร่วมงาน เนื่องจากเธอหายสาปสูญไปเป็นเวลานานแล้ว
นิทานอีสป

งานฉลองต้อนรับเจ้าหญิงองค์น้อยถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ นางฟ้าแต่ละองค์มอบพรอันแสนวิเศษ ทั้งความงาม ความฉลาด ความร่ำรวย และพรอีกมากมายที่สามารถดลบันดาลให้เจ้าหญิงเป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ทว่าในระหว่างที่นางฟ้าองค์ที่ 12 กำลังจะให้พรนั้น นางฟ้าองค์ที่ 13 กลับปรากฏตัวขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยวที่ไม่ได้รับเชิญ พร้อมเอ่ยคำสาปว่า “ข้าขอประกาศต่อหน้าพวกท่านทุกคน ในวันเกิดปีที่ 16 เจ้าหญิงจะถูกเข็มปั่นด้ายแทงนิ้วและสิ้นพระชนม์ !” นางฟ้าองค์ที่ 13 ประกาศด้วยเสียงอันดังก่อนที่จะหายตัวจากไป

คำสาปของนางฟ้าใจร้ายทำให้ทุกคนในงานตกใจเป็นอย่างมาก แต่ในความโชคร้ายยังมีโชคดีหลงเหลืออยู่ เพราะนางฟ้าองค์ที่ 12 ยังไม่ได้ให้พรแก่เจ้าหญิง แม้ว่าเธอจะไม่สามารถแก้คำสาปได้ แต่ก็ผ่อนความร้ายแรงให้เบาลงได้ ดังนั้นเธอจึงมอบพรข้อสุดท้ายให้กับเจ้าหญิงว่า “เจ้าหญิงจะไม่สิ้นพระชนม์ แต่จะหลับใหลไปเป็นเวลา 100 ปี”

แต่ถึงกระนั้นพระราชาก็มีรับสั่งให้เผาเครื่องปั่นด้ายทุกเครื่องในราชอาณาจักร เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหญิงไปสัมผัสกับเข็มแหลมที่จะคร่าชีวิตเธอไป จนเวลาล่วงเลยไปนานถึง 15 ปี เจ้าหญิงเติบโตขึ้นเป็นสาวสะพรั่ง งดงามทั้งกิริยามารยาท ทั้งเป็นคนฉลาดและร่าเริง สมดังพรที่เหล่านางฟ้าได้มอบไว้ทุกประการ

กระทั่งวันเกิดปีที่ 16 ของเจ้าหญิง ซึ่งเป็นวันที่พระราชาและพระราชินีเสด็จออกนอกวัง ทิ้งให้เธออยู่เพียงลำพัง เจ้าหญิงจึงตัดสินใจเดินเล่นไปรอบ ๆ วัง เข้าห้องนั้น ออกห้องนี้ ตามที่เธอต้องการ กระทั่งไปถึงหอคอยเก่า ด้วยความอยากรู้ เจ้าหญิงจึงเดินขึ้นบันไดแคบ ๆ ที่คดเคี้ยวไปจนเจอประตูบานหนึ่ง และเมื่อเธอลองจับลูกบิดดู ประตูก็เปิดออก ในห้องเล็ก ๆ ห้องนั้น เจ้าหญิงเห็นหญิงชราคนหนึ่งกำลังปั่นด้ายอยู่

“สวัสดีค่ะคุณยาย กำลังทำอะไรอยู่หรือคะ” เจ้าหญิงเอ่ยทักทายหญิงชราคนนั้น “กำลังปั่นด้ายอยู่ไงล่ะ” หญิงชราตอบ “ฉันไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนเลย น่าสนุกจัง” เจ้าหญิงมองดูเครื่องปั่นด้ายอย่างตื่นเต้น “เจ้าอยากลองทำไหมล่ะ” หญิงชราลุกขึ้น เชื้อเชิญเจ้าหญิงมาลองปั่นผ้า แต่ด้วยฤทธิ์ของเวทมนตร์ ไม่ทันที่เจ้าหญิงจะได้จับกรงล้อ นิ้วของเธอก็ถูกเข็มแหลมทิ่ม ก่อนที่เธอจะล้มตัวลงบนเตียงในห้องนั้นและหลับไป

ด้วยฤทธิ์ของเวทมนตร์ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างทั่วอาณาจักรนี้หลับใหล ทั้งพระราชาและพระราชินีทั้งเพิ่งกลับเข้าวัง ข้ารับใช้ทุกคน เปลวไฟในเตาที่มอดดับลงเอง แม้กระทั่งใบไม้ที่ไม่ไหวติง ทุกอย่างในอาณาจักรนี้ราวกับถูกหยุดเวลาไว้ ทว่ารอบ ๆ ปราสาทกลับมีพุ่มหนามขึ้นสูงจนกลายเป็นกำแพงแน่นหนา บดบังปราสาทหลังนี้จากภายนอกอย่างสิ้นเชิง

เรื่องราวของเจ้าหญิงผู้หลับใหลโด่งดังไปทั่วจนทำให้ทั้งเจ้าชายและพระราชาจากต่างเมืองต้องการจะมาเห้นด้วยตาของตนเอง แต่ไม่มีใครสามารถฝ่าดงหนามนี้ไปได้ บ้างก็ถอยกลับไป บ้างก็ตายอยู่ ณ ที่นั้น

เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งร้อยปี มีเจ้าชายองค์หนึ่งซึ่งได้ยินเรื่องราวของเจ้าหญิงและปราสาทที่หลับใหลด้วยมนตร์สะกด ต้องการจะพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยตนเอง แม้จะมีคนห้ามปรามว่าไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ และอาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่น เจ้าชายกล่าวว่า “ฉันไม่กลัว ฉันอยากจะเห็นเจ้าหญิงด้วยตาตัวเอง”

ราวกับเวลาทั้งหลายเป็นใจ เพราะในวันที่เจ้าชายตัดสินใจไปยังปราสาท คือวันที่ครบกำหนดหนึ่งร้อยปีพอดิบพอดี ลวดหนามแหลมคมจึงกลายเป็นเพียงดอกไม้ใหญ่สวยงามที่แหวกทางให้พระองค์ได้เดินเข้าไปยังตัวประสาทได้อย่างสะดวก เมื่อถึงปราสาท ภาพที่เจ้าชายเห็นคือทุกสิ่งล้วนหลับใหล ไร้ซึ่งการขยับเขยื้อนของสิ่งมีชีวิตใด ๆ ทั้งสิ้น

ท่ามกลางความเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ เจ้าชายสำรวจภายในปราสาทลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนไปถึงหอคอยเก่า และได้เปิดเข้าไปยังห้องเล็ก ๆ ที่เจ้าหญิงนอนหลับอยู่ ใบหน้าที่สวยงาม ผิวสว่างดั่งแสงอาทิตย์ และริมฝีปากแดงราวกลีบกุหลาบ ทำให้เจ้าชายไม่สามารถละสายตาได้ และในที่สุด เขาก็ก้มลงไปจุมพิตเธอ และทันใดนั้นเจ้าหญิงก็ลืมตาตื่นขึ้น ดวงตาอ่อนหวานจ้องมองเขา ทั้งคู่ตกหลุมรักกันและกันในทันที

ทันทีที่ทั้งคู่เดินลงจากหอคอย ทั่วทั้งปราสาทก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทุกสรรพสิ่งที่เคยหยุดนิ่งและผู้คนที่หลับใหลกลับตื่นขึ้น คำสาปได้ถูกทำลายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าชายและเจ้าหญิงก็ได้แต่งงานกันและครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป

The post เจ้าหญิงนิทรา (Sleeping Beauty) appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
https://nekohimahime.online/2022/11/04/%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%b2-sleeping-beauty/feed/ 0
ซินเดอเรลล่า (Cinderella) https://nekohimahime.online/2022/11/04/%e0%b8%8b%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%a5%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%b2-cinderella/ https://nekohimahime.online/2022/11/04/%e0%b8%8b%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%a5%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%b2-cinderella/#respond Fri, 04 Nov 2022 03:24:31 +0000 https://nekohimahime.online/?p=1466 กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสาวน้อยคนหนึ่งชื่อว่า “เอลล่า” (Ella) เป็นบุตรสาวของเศรษฐี หลังจากมารดาของเธอเสียชีวิตไปหลายปี บิดาก็แต่งงานใหม่กับมาดามผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นหม้ายและมีลูกสาวติดมาสองคน และแม่เลี้ยงของเธอก็ไม่เคยชอบซินเดอเรลล่าเลยสักนิด จากนั้นไม่นาน เศรษฐีก็เสียชีวิตลง แต่แทนที่ทรัพย์สมบัติจะตกเป็นของลูกสาวแท้ ๆ แม่เลี้ยงของเธอกลับครอบครองไว้ทั้งหมด และเลือกสรรแต่สิ่งดี ๆ ให้กับลูกสาวทั้งสองของเธอ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าสวย ๆ อาหารอร่อย ๆ หรือห้องนอนอันอบอุ่น ซ้ำร้ายยังบังคับให้เอลล่าทำงานเป็นสาวใช้ คอยปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดบ้านตั้งแต่เช้าจรดเย็น มีเพียงช่วงกลางคืนเท่านั้นที่เธอจะได้รับอนุญาตให้นั่งพักผิงไฟคลายหนาว ซึ่งเศษเถ้าถ่านจากเตาผิงก็มักจะติดตามเนื้อตัวและใบหน้าของเธอ ทำให้พี่สาวทั้งสองตั้งชื่อใหม่ให้เธอว่า “ซินเดอเรลล่า” ที่หมายถึงสาวน้อยในเถ้าถ่านนิทานแต่แม้ซินเดอเรลล่าจะสวมใส่เสื้อผ้าที่เก่าและขาดวิ่น เนื้อตัวมอมแมมด้วยเถ้าถ่าน ทำงานหนักทั้งวัน แต่สิ่งที่เธอมีก็คือความสวยและจิตใจที่งดงาม แม้แต่พี่สาวทั้งสองก็เทียบไม่ได้ อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาผู้ปกครองเมืองได้ส่งจดหมายเชิญให้สาวโสดทุกคนไปร่วมงานเต้นรำที่พระราชวัง เนื่องจากพระราชาทรงต้องการให้เจ้าชายผู้เป็นโอรสเพียงองค์เดียวมีโอกาสได้พบปะหญิงสาวในเมืองและเฟ้นหาคู่ครองจากงานเต้นรำครั้งนี้ เมื่อหญิงสาวทั่วทั้งเมืองทราบข่าว ทุกคนก็พากันตื่นเต้นและฝันหวานว่าตัวเองอาจจะมีโอกาสได้แต่งงานกับเจ้าชายรูปงาม เช่นกันกับซินเดอเรลล่า เพราะเธอใฝ่ฝันมาตลอดเวลาว่าจะได้เต้นรำในฟลอร์ที่งดงามและเป็นอิสระจากงานบ้านอันล้นมือเหล่านี้ แต่เมื่อเด็กสาวขอไป แม่เลี้ยงใจร้ายจึงกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานาจนซินเดอเรลล่าไม่มีชุดใส่ไปงานเต้นรำ พร้อมกับออกคำสั่งให้อยู่ทำงานบ้าน ล้างจาน ขัดพื้น และเตรียมเตียงนอนไว้ให้พี่สาวทั้งสอง เพราะเมื่อทุกคนกลับมาบ้านคงจะอ่อนเพลียและง่วงนอนมาก แม่เลี้ยงใจร้ายและลูกสาวทั้งสองคนพากันแต่งเนื้อแต่งตัวจนเกือบจะสวย จากนั้นรถม้าก็มารับพวกเขาเดินทางไปร่วมงานยังปราสาท เหลือก็เพียงซินเดอเรลล่าเท่านั้นที่ต้องอยู่เฝ้าบ้านและทำงานบ้านต่าง ๆ ตามที่แม่เลี้ยงสั่งเอาไว้ มิหนำซ้ำ…

The post ซินเดอเรลล่า (Cinderella) appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสาวน้อยคนหนึ่งชื่อว่า “เอลล่า” (Ella) เป็นบุตรสาวของเศรษฐี หลังจากมารดาของเธอเสียชีวิตไปหลายปี บิดาก็แต่งงานใหม่กับมาดามผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นหม้ายและมีลูกสาวติดมาสองคน และแม่เลี้ยงของเธอก็ไม่เคยชอบซินเดอเรลล่าเลยสักนิด

จากนั้นไม่นาน เศรษฐีก็เสียชีวิตลง แต่แทนที่ทรัพย์สมบัติจะตกเป็นของลูกสาวแท้ ๆ แม่เลี้ยงของเธอกลับครอบครองไว้ทั้งหมด และเลือกสรรแต่สิ่งดี ๆ ให้กับลูกสาวทั้งสองของเธอ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าสวย ๆ อาหารอร่อย ๆ หรือห้องนอนอันอบอุ่น ซ้ำร้ายยังบังคับให้เอลล่าทำงานเป็นสาวใช้ คอยปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดบ้านตั้งแต่เช้าจรดเย็น มีเพียงช่วงกลางคืนเท่านั้นที่เธอจะได้รับอนุญาตให้นั่งพักผิงไฟคลายหนาว ซึ่งเศษเถ้าถ่านจากเตาผิงก็มักจะติดตามเนื้อตัวและใบหน้าของเธอ ทำให้พี่สาวทั้งสองตั้งชื่อใหม่ให้เธอว่า “ซินเดอเรลล่า” ที่หมายถึงสาวน้อยในเถ้าถ่าน
นิทาน
แต่แม้ซินเดอเรลล่าจะสวมใส่เสื้อผ้าที่เก่าและขาดวิ่น เนื้อตัวมอมแมมด้วยเถ้าถ่าน ทำงานหนักทั้งวัน แต่สิ่งที่เธอมีก็คือความสวยและจิตใจที่งดงาม แม้แต่พี่สาวทั้งสองก็เทียบไม่ได้

อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาผู้ปกครองเมืองได้ส่งจดหมายเชิญให้สาวโสดทุกคนไปร่วมงานเต้นรำที่พระราชวัง เนื่องจากพระราชาทรงต้องการให้เจ้าชายผู้เป็นโอรสเพียงองค์เดียวมีโอกาสได้พบปะหญิงสาวในเมืองและเฟ้นหาคู่ครองจากงานเต้นรำครั้งนี้ เมื่อหญิงสาวทั่วทั้งเมืองทราบข่าว ทุกคนก็พากันตื่นเต้นและฝันหวานว่าตัวเองอาจจะมีโอกาสได้แต่งงานกับเจ้าชายรูปงาม

เช่นกันกับซินเดอเรลล่า เพราะเธอใฝ่ฝันมาตลอดเวลาว่าจะได้เต้นรำในฟลอร์ที่งดงามและเป็นอิสระจากงานบ้านอันล้นมือเหล่านี้ แต่เมื่อเด็กสาวขอไป แม่เลี้ยงใจร้ายจึงกลั่นแกล้งต่าง ๆ นานาจนซินเดอเรลล่าไม่มีชุดใส่ไปงานเต้นรำ พร้อมกับออกคำสั่งให้อยู่ทำงานบ้าน ล้างจาน ขัดพื้น และเตรียมเตียงนอนไว้ให้พี่สาวทั้งสอง เพราะเมื่อทุกคนกลับมาบ้านคงจะอ่อนเพลียและง่วงนอนมาก

แม่เลี้ยงใจร้ายและลูกสาวทั้งสองคนพากันแต่งเนื้อแต่งตัวจนเกือบจะสวย จากนั้นรถม้าก็มารับพวกเขาเดินทางไปร่วมงานยังปราสาท เหลือก็เพียงซินเดอเรลล่าเท่านั้นที่ต้องอยู่เฝ้าบ้านและทำงานบ้านต่าง ๆ ตามที่แม่เลี้ยงสั่งเอาไว้ มิหนำซ้ำ แม่เลี้ยงยังกำชับไม่ให้ซินเดอเรลล่าออกจากบ้านโดยเด็ดขาด ครั้นเมื่อเสียงเพลงจากงานเต้นรำแว่วมา ซินเดอเรลล่าผู้น่าสงสารก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจและโศกเศร้า เธอเริ่มก้มหน้าและร้องไห้ไม่ยอมหยุด

ในขณะที่ซินเดอเรลล่ากำลังร้องไห้อยู่นั้น จู่ ๆ นางฟ้าแม่ทูนหัวก็ปรากฏกายขึ้น “อย่าร้องไห้ไปเลย ซินเดอเรลล่า ฉันรู้ว่าเธออยกไปงานเต้นรำ และฉันจะเนรมิตความฝันนั้นให้เป็นจริงเอง”

จากนั้น นางฟ้าก็เริ่มร่ายคาถาเสกชุดราตรีสีขาวแสนงดงาม พร้อมกับรองเท้าแก้วให้ซินเดอเรลล่าได้สวมใส่ พร้อมเนรมิตฟักทองกับพวกหนูในบ้านให้กลายเป็นรถม้าและคนขับรถ เพื่อพาซินเดอเรลล่าไปร่วมงานเหมือนกับหญิงสาวคนอื่น ๆ ซินเดอเรลล่าดีใจจนแทบไม่เชื่อสายตา เพราะตอนนี้เธอดูสวยราวกับเจ้าหญิงเลยทีเดียว

แต่ก่อนที่ซินเดอเรลล่าจะเดินทาง นางฟ้าได้เตือนซินเดอเรลล่าว่า “ซินเดอเรลล่า เธอต้องกลับบ้านก่อนเที่ยงคืน เพราะเวทมนตร์ของฉันจะมีฤทธิ์ถึงแค่นั้น ทุกอย่างจะกลับกลายสภาพเป็นเหมือเดิม เข้าใจไหมจ้ะ” ซินเดอเรลล่าตกปากรับคำ จากนั้นเธอก็ขึ้นรถม้าแล้วเดินทางไปยังงานเลี้ยงของเจ้าชายทันที

เมื่อซินเดอเรลล่าปรากฏตัวในพระราชวัง ทุกสายตาต่างก็หันมามองเธอราวกับโดนสะกด เพราะหญิงสาวคนนี้ทั้งสวยสง่าและโดดเด่นที่สุดในงาน “เธอคือใครกัน ?” ผู้คนในงานต่างกระซิบถาม แม้แต่พี่สาวทั้งสองก็สงสัย และรู้สึกคุ้น ๆ หน้า แต่ไม่แน่ใจว่าเคยเห็นที่ไหน

เมื่อเจ้าชายสบตากับซินเดอเรลล่าก็ตกหลุมรักในความงามทันที เขาตรงมาขอเธอเต้นรำด้วย ท่ามกลางความผิดหวังของสาว ๆ ทั่วเมือง เพราะเจ้าชายเต้นรำกับซินเดอเรลล่าเพียงคนเดียวตลอดค่ำคืนนั้น

“เธอชื่ออะไร ท่านหญิง ?” เจ้าชายเอ่ยถามซินเดอเรลล่า

“ไม่สำคัญหรอกว่าฉันเป็นใคร เพราะถึงอย่างไร ท่านก็จะไม่มีโอกาสพบฉันอีกแล้ว”

“โอ้ เช่นนั้นหรือ แต่ฉันมั่นใจว่าเราจะได้พบกันอีกแน่นอน” เจ้าชายตอบ

ซินเดอเรลล่าและเจ้าชายต่างก็มีความสุขมาก แต่เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ไม่ทันไร นาฬิกาก็บอกเวลาเที่ยงคืน ! ซินเดอเรลล่านึกถึงคำเตือนของนางฟ้าทูนหัว เธอแทบจะไม่ได้ร่ำลาเจ้าชาย และหมุนตัวออกจากวงแขน วิ่งลงบันไดพระราชวังอย่างรวดเร็วเท่าที่เธอจะทำได้ เจ้าชายวิ่งตามหญิงสาวปริศนา พลางร้องถามชื่ออีกครั้ง แต่ซินเดอเรลล่าไม่ได้ตอบ ระหว่างนั้นรองเท้าแก้วข้างหนึ่งก็หลุดออก เธอไม่มีเวลาหันไปเก็บแล้ว จึงต้องจำใจทิ้งรองเท้าข้างนั้นไว้ให้เจ้าชายดูต่างหน้า แล้วขึ้นรถฟักทองกลับไปยังบ้านได้ทันเวลา
นิทาน
เจ้าชายเก็บรองเท้าแก้วของเธอไว้ แล้วรับสั่งให้เสนาบดีค้นหาให้ทั่วอาณาจักร เพื่อตามหาหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของรองเท้าแก้วข้างนี้ หากใครสวมได้ เจ้าชายจะแต่งงานกับเธอ

เสนาบดีได้นำรองเท้าแก้วไปตามบ้านต่าง ๆ เพื่อให้หญิงสาวทุกคนได้ลอง จนมาถึงบ้านแม่เลี้ยง เมื่อลูกสาวทั้งสองลองครบแล้ว แต่ใส่ไม่ได้ นางก็โกหกว่าไม่มีหญิงสาวในบ้านอีก พร้อมทำลายรองเท้าแก้วจนแตกละเอียด ทุกคนต่างหมดหวังว่าจะไม่สามารถหาหญิงปริศนาของเจ้าชายพบ แต่สุดท้าย ซินเดอเรลล่า ก็หยิบรองเท้าแก้วอีกข้างที่เก็บไว้ขึ้นมา เธอสวมใส่รองเท้าแก้วนั้นได้พอดีเป๊ะ

“มากับเราเถิดท่านสุภาพสตรี เจ้าชายกำลังรออยู่” เสนาบดีพาเธอขึ้นรถม้าไป เมื่อซินเดอเรลล่ามาถึงพระราชวัง เจ้าชายก็มอบแหวนหมั้นให้กับเธอและขอเธอแต่งงาน จากนั้นทั้งคู่ก็ได้ครองรักกันอย่างมีความสุขตราบนานเท่านาน

The post ซินเดอเรลล่า (Cinderella) appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
https://nekohimahime.online/2022/11/04/%e0%b8%8b%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%a5%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%b2-cinderella/feed/ 0
นิทานเวตาลปัญจวิงศติ เรื่องที่ ๒ https://nekohimahime.online/2022/10/11/%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a5%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b8%8d%e0%b8%88%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%a8%e0%b8%95%e0%b8%b4-%e0%b9%80-2/ https://nekohimahime.online/2022/10/11/%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a5%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b8%8d%e0%b8%88%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%a8%e0%b8%95%e0%b8%b4-%e0%b9%80-2/#respond Tue, 11 Oct 2022 14:49:36 +0000 https://nekohimahime.online/?p=1459 นางมันทารวดี กับ พราหมณ์หนุ่ม ๓ คน พระราชาตริวิกรมเสนเสด็จกลับไปที่ต้นอโศกอีกครั้งหนึ่งเพื่อจับตัวเวตาล เมื่อเสด็จไปถึงที่นั้น ทรงสอดส่ายพระเนตรดูโดยรอบในความมืดอันมีแสงไฟเรือง ๆ จากจิตกาธานส่องมา ในที่สุดก็พบศพนั้นนอนหงายอยู่บนพื้นดินกําลังกรนอยู่ จึงเข้าไปจับตัวศพนั้นซึ่งมีเวตาลสิงอยู่ตวัดขึ้นบนบ่า และรีบดําเนินไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปยังที่ซึ่งนัดไว้กับโยคีศานติศีล เวตาลซึ่งแขวนอยู่บนบ่าก็เริ่มกล่าวทําลายความเงียบขึ้นว่า ‚โอ ราชะ ภาระที่พระองค์ต้องทนแบกไว้นี้ช่างสาหัสสากรรจ์เสียจริง ๆ ไม่เหมาะสมแก่พระองค์เลย ถ้ากระไรข้าจะเล่านิทานให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง เพื่อจะได้ทรงเพลิดเพลิน ขอให้ทรงฟังเถิด‛ บนฝั่งของแม่นํ้ายมุนา ณ ที่แห่งนั้น เป็นเขตคามที่กําหนดไว้สําหรับพวกพราหมณ์โดยเฉพาะ มีชื่อว่าหมู่บ้านพรหมสถล ในหมู่บ้านนี้มีพราหมณ์ผู้หนึ่งอาศัยอยู่ มีชื่อว่า อัคนิสวามิน เป็นผู้ที่เจนจบในคัมภีร์พระเวททั้งปวง (คือคัมภีร์ไตรเวท ประกอบด้วยคัมภีร์ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท ต่อมาภายหลังได้เพิ่มเข้าไปอีกคัมภีร์หนึ่ง คืออถรรพเวท จึงเรียกว่า จตุรเวท) พราหมณ์ผู้นี้มีบุตรสาวแสนสวยผู้หนึ่งชื่อว่า มันทารวดี ความงามของนางลํ้าเลิศหาที่เปรียบมิได้ราวกับเป็นผลงานที่พระพรหมทรงสรรค์สร้างขึ้น และเมื่อนางได้กําเนิดมาแล้วก็ดูเหมือนว่าท้าวธาดาเธอทรงสิ้นเยื่อใยในเทพอัปสรทั้งปวงโดยสิ้นเชิง เมื่อนางเจริญวัยเป็นสาวแรกรุ่นนั้นปรากฏว่ามีพราหมณ์หนุ่มสามคนเดินทางมาจากแคว้นกันยกุพชะ พราหมณ์เหล่านี้เป็นผู้แตกฉานในศาสตร์ทั้งปวงเท่าเทียมกัน และพราหมณ์แต่ละคนก็มุ่งมาสู่ขอมันทารวดีโฉมงามจากบิดาของนาง ต่างคนต่างก็สาบานว่าถ้านางแต่งงานกับคนอื่น ตนก็จะฆ่าตัวตาย แต่บิดาของนางก็มิได้ยกนางให้แก่ใคร เพราะเกรงว่าถ้ายกให้คนหนึ่ง อีกสองคนก็จะฆ่าตัวตายเสีย ดังนั้นนางจึงคงอยู่เป็นโสดเรื่อยมามิได้คิดแต่งงานกับใคร และพราหมณ์ทั้งสามก็ยังคงพักอยู่ที่นั่นเรื่อยมา ทั้งกลางวันและกลางคืนก็เฝ้าแต่มองดูพักตร์ของนางอันงามเปล่งปลั่งราวกับสมบูรณจันทร์ (พระจันทร์เต็มดวง)…

The post นิทานเวตาลปัญจวิงศติ เรื่องที่ ๒ appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
นางมันทารวดี กับ พราหมณ์หนุ่ม ๓ คน

พระราชาตริวิกรมเสนเสด็จกลับไปที่ต้นอโศกอีกครั้งหนึ่งเพื่อจับตัวเวตาล เมื่อเสด็จไปถึงที่นั้น ทรงสอดส่ายพระเนตรดูโดยรอบในความมืดอันมีแสงไฟเรือง ๆ จากจิตกาธานส่องมา ในที่สุดก็พบศพนั้นนอนหงายอยู่บนพื้นดินกําลังกรนอยู่ จึงเข้าไปจับตัวศพนั้นซึ่งมีเวตาลสิงอยู่ตวัดขึ้นบนบ่า และรีบดําเนินไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปยังที่ซึ่งนัดไว้กับโยคีศานติศีล เวตาลซึ่งแขวนอยู่บนบ่าก็เริ่มกล่าวทําลายความเงียบขึ้นว่า

‚โอ ราชะ ภาระที่พระองค์ต้องทนแบกไว้นี้ช่างสาหัสสากรรจ์เสียจริง ๆ ไม่เหมาะสมแก่พระองค์เลย ถ้ากระไรข้าจะเล่านิทานให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง เพื่อจะได้ทรงเพลิดเพลิน ขอให้ทรงฟังเถิด‛

บนฝั่งของแม่นํ้ายมุนา ณ ที่แห่งนั้น เป็นเขตคามที่กําหนดไว้สําหรับพวกพราหมณ์โดยเฉพาะ มีชื่อว่าหมู่บ้านพรหมสถล ในหมู่บ้านนี้มีพราหมณ์ผู้หนึ่งอาศัยอยู่ มีชื่อว่า อัคนิสวามิน เป็นผู้ที่เจนจบในคัมภีร์พระเวททั้งปวง (คือคัมภีร์ไตรเวท ประกอบด้วยคัมภีร์ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท ต่อมาภายหลังได้เพิ่มเข้าไปอีกคัมภีร์หนึ่ง คืออถรรพเวท จึงเรียกว่า จตุรเวท) พราหมณ์ผู้นี้มีบุตรสาวแสนสวยผู้หนึ่งชื่อว่า มันทารวดี ความงามของนางลํ้าเลิศหาที่เปรียบมิได้ราวกับเป็นผลงานที่พระพรหมทรงสรรค์สร้างขึ้น และเมื่อนางได้กําเนิดมาแล้วก็ดูเหมือนว่าท้าวธาดาเธอทรงสิ้นเยื่อใยในเทพอัปสรทั้งปวงโดยสิ้นเชิง เมื่อนางเจริญวัยเป็นสาวแรกรุ่นนั้นปรากฏว่ามีพราหมณ์หนุ่มสามคนเดินทางมาจากแคว้นกันยกุพชะ พราหมณ์เหล่านี้เป็นผู้แตกฉานในศาสตร์ทั้งปวงเท่าเทียมกัน และพราหมณ์แต่ละคนก็มุ่งมาสู่ขอมันทารวดีโฉมงามจากบิดาของนาง ต่างคนต่างก็สาบานว่าถ้านางแต่งงานกับคนอื่น ตนก็จะฆ่าตัวตาย แต่บิดาของนางก็มิได้ยกนางให้แก่ใคร เพราะเกรงว่าถ้ายกให้คนหนึ่ง อีกสองคนก็จะฆ่าตัวตายเสีย ดังนั้นนางจึงคงอยู่เป็นโสดเรื่อยมามิได้คิดแต่งงานกับใคร และพราหมณ์ทั้งสามก็ยังคงพักอยู่ที่นั่นเรื่อยมา ทั้งกลางวันและกลางคืนก็เฝ้าแต่มองดูพักตร์ของนางอันงามเปล่งปลั่งราวกับสมบูรณจันทร์ (พระจันทร์เต็มดวง) ต่างก็ไม่ได้กินไม่ได้นอน ทําตนราวกับนกจโกระ (นกเขาไฟ ตามนิยายโบราณกล่าวว่า ‚ยังชีพอยู่ได้ด้วยแสงจันทร์‛) ซึ่งอาศัยแสงจันทร์เป็นอาหารฉะนั้น

ต่อมานางมันทารวดีล้มป่วยเป็นไข้อย่างรุนแรง นางมิอาจจะทนทานต่อพิษไข้ได้ก็ถึงแก่ความตายพราหมณ์หนุ่มทั้งสามมีความเศร้าโศกอย่างยิ่ง นําร่างอันเป็นศพของนางไปสู่ป่าช้า สวดให้แก่นางด้วยความรักและเผาศพนางที่จิตกาธาน พราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งสร้างกระท่อมน้อยขึ้นตรงที่ใกล้ เอาเถ้าถ่านอังคารของนางมาโปรยลงบนเตียงและนอนทับบนพื้น เขายังชีพไปวันหนึ่ง ๆ ด้วยการถือกะลาขออาหารกินตามมีตามเกิด พราหมณ์คนที่สองรวบรวมกระดูกของนางเอาไปทิ้งในแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ส่วนพราหมณ์คนที่สามถือเพศเป็นโยคีท่องเที่ยวพเนจรไปยังดินแดนต่าง ๆ

โยคีเดินทางผ่านแว่นแคว้นต่าง ๆ เรื่อยมาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อวัชรโลก จึงเข้าไปภิกขาจารที่บ้านพราหมณ์ผู้หนึ่ง ท่านพราหมณ์ได้ต้อนรับเขาด้วยอัธยาศัยอันดียิ่ง เขาจึงนั่งบริโภคอาหารในบ้านพราหมณ์ผู้นั้น ขณะนั้นมีเสียงทารกร้องจ้าขึ้นมาและร้องติดต่อกันไม่หยุด ไม่มีใครจะห้ามให้หยุดได้ นางพราหมณีผู้เป็นมารดาบันดาลโทสะจึงจับทารกขึ้นมาแล้วโยนโครมลงไปในกองไฟ เด็กถูกไฟเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน โยคีผู้นั่งกินอาหารอยู่เงียบ ๆ แลเห็นเหตุการณ์โดยตลอดก็ตกใจ รู้สึกสยดสยองจนขนหัวลุกชัน ร้องออกมาว่า ‚พุทโธ่ พุทโธ่เอ๋ย นี่ข้าเข้ามาในบ้านของพราหมณ์รากษสหรือนี่ ข้าไม่กินอะไรแล้ว เพราะการเสพอาหารในบ้านของพราหมณ์ปีศาจเช่นนี้เป็นบาปกรรมอย่างมหันต์ไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดใดก็ตาม‛

ขณะเมื่อเขากล่าวดังนี้ พราหมณ์ผู้คฤหบดี (เจ้าของบ้าน) จึงพูดว่า

‚อย่าตกอกตกใจไปเลย ท่านจงคอยดู ข้าจะชุบชีวิตเด็กคนนี้ขึ้นใหม่โดยการร่ายมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์ดูสิ‚

เมื่อกล่าวดังนี้แล้ว มหาพราหมณ์ก็เดินไปหยิบคัมภีร์มหาเวทอันศักดิ์สิทธิ์มาเปิดออกแล้วสวดมนตร์บทหนึ่ง ขณะที่สวดอยู่ก็เอาขี้เถ้าโปรยลงในกองไฟ พอสวดจบลง เด็กก็ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่ มีลักษณะและองคาพยพ (อวัยวะ) เหมือนเดิมทุกประการ พราหมณ์อาคันตุกะเห็นเหตุการณ์เป็นดังนั้นก็ค่อยคลายใจ ลงมือเสพอาหารต่อไปตามปกติ พราหมณ์เจ้าของบ้านเมื่อร่ายมนตร์เสร็จแล้ว ก็เอาคัมภีร์ไปเก็บไว้ที่เดิม ลงมือกินอาหารเสร็จแล้วก็เข้านอนในราตรี พราหมณ์อาคันตุกะก็กระทําเช่นเดียวกัน

พอเห็นพราหมณ์เจ้าของบ้านและภรรยานอนหลับแล้ว โยคีหนุ่มก็ลุกขึ้นค่อย ๆ ย่องไปที่เก็บคัมภีร์และหยิบเอาไป ตั้งใจจะเอาไปใช้ชุบชีวิตให้แก่นางมันทารวดีผู้เป็นที่รัก โยคีหนุ่มออกจากบ้านนั้นไปพร้อมด้วยคัมภีร์มหาเวท รีบเร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน มุ่งกลับไปยังสุสานที่ตนและพรรคพวกช่วยกันเผาศพนางครั้งนั้น พอมาถึงป่าช้าก็แลเห็นพราหมณ์คนที่สองเดินทางกลับมาแล้วหลังจากที่เอาอัฐิของนางไปโยนแม่นํ้าคงคาเพื่อให้นางไปสู่สุคติ และที่สุสานนั้นเช่นกันก็แลเห็นพราหมณ์ผู้เอาอังคารธาตุของนางมาโปรยนอน กําลังหลับอยู่ในกระท่อมที่สร้างไว้ จึงพูดกับพราหมณ์สหายให้รื้อกระท่อมทิ้งเสีย เพื่อตนจะได้ทําพิธีร่ายมนตร์มฤตสัญชีวินี (มนตร์ชุบคนตายให้ฟื้นคืนชีวิต พระศุกร์ได้มาจากพระศิวะและสืบต่อกันมาถึงคนรุ่นหลัง) ชุบชีวิตนางขึ้นใหม่ เมื่อรื้อกระท่อมทิ้งแล้วเถ้าถ่านของนางก็ตกเรี่ยรายอยู่บนพื้นดิน โยคีหนุ่มเมื่อเห็นทุกสิ่งพร้อมแล้วก็เปิดคัมภีร์ ร่ายมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับโปรยฝุ่นลงไปบนพื้นดินผสมผสานกับเถ้าถ่าน มินานพอจบมนตร์ ดังกล่าวก็ปรากฏร่างนางมันทารวดีขึ้นในกองไฟ นางก้าวออกมาจากกองไฟพิธีด้วยรูปโฉมอันเปล่งปลั่งงดงามยิ่งกว่าเดิม ราวกับทองคําที่ถูกไฟชําระแล้วมีความสุกปลั่งผุดผ่องฉะนั้น

เมื่อพราหมณ์ทั้งสามแลเห็นนางมันทารวดีผู้งามเฉิดฉายราวเทพอัปสรปรากฏเฉพาะหน้าต่างคนต่างก็แทบจะคลั่งตายเพราะความรัก และต่างก็ท่มุ เถียงแก่งแย่งกรรมสิทธิ์ในตัวนางด้วยกัน ไม่มีใครยอมเสียสละแก่กัน พราหมณ์ผู้เป็นโยคี กล่าวว่า ‚นางต้องเป็นของข้าเพราะข้าเป็นคนร่ายมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ชุบนางข้ึนมาจากความตาย ข้าย่อมมีสิทธิ์ในตัวนาง‛ พราหมณ์คนที่สองเถียงว่า‚นางควรเป็นของข้าเพราะข้าเป็นคนเอาอัฐิของนางไปโปรยลงในแมน้ำคงคา ทำให้นางสะอาดบริสุทธิ์ด้วยสายน้ำอันศักดิ์สิทธิ์นั้น‛ และพราหมณ์คนที่สามก็กล่าวขึ้นอย่างเชื่อมั่นเต็มที่ว่า ‚ข้าเท่านั้นที่ควรจะได้นางเป็นภรรยา เพราะข้าเอาเถ้าถ่านของนางมาเก็บไว้และบําเพ็ญตบะเพื่อนางทุกวัน‛

‚โอ ราชะ‛ เวตาลกล่าวยิ้ม ๆ ‚โปรดตัดสินทีเถอะ ว่าในสามคนนี้นางควรจะเป็นของใคร ถ้าพระองค์รู้แล้วแกล้งไม่ตอบ พระเศียรของพระองค์จะต้องแยกเป็นเสี่ยง ๆ‛

ฝ่ายพระเจ้าตริวิกรมเสนเมื่อได้ยินเวตาลพูดดังนั้นจึงตรัสว่า ‚ชายคนที่ร่ายมนตร์ทําให้นางคืนชีวิตขึ้นมานั้น ถึงแม้เขาจะต้องใช้ความสามารถและลําบากลําบนปานใด ก็ควรจะเป็นพ่อของนางเท่านั้น และพราหมณ์คนที่เอาอัฐิของนางไปสู่แม่นํ้าคงคาก็ควรจะถือว่าเป็นลูกของนางอย่างเดียว ส่วนพราหมณ์ที่เก็บเถ้าถ่านของนางและคงอยู่ที่ป่าช้าถึงกับสร้างที่อยู่ตรงที่เผาศพนาง และบําเพ็ญตบะเพื่อนางนั่นต่างหาก ควรจะได้เป็นสามีของนางโดยแท้เพราะเขาอยู่กับนางตลอดเวลามิได้ทอดทิ้งนางไปไหน แสดงความรักอันดื่มดํ่าต่อนางแม้เพียงนอนบนเถ้าธุลีของนางโดยมิได้รังเกียจ‛

เมื่อเวตาลได้ฟังพระเจ้าตริวิกรมเสนตรัส ดังนั้น เป็นการละเมิดสัญญาที่ตกลงกัน จึงอันตรธานจากบ่าของพระราชากลับไปที่อยู่ของตน แต่พระราชาก็ต้องทนลําบากติดตามหาตัวมันอีก ทั้งนี้ก็เพราะพระองค์ทรงถือมั่นในสัจจะที่ให้ไว้แก่โยคีศานติศีล และบุคคลที่มีสัจจะเช่นพระองค์นั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็ย่อมจะปฏิบัติเหมือนกันหมด คือต้องทําภาระของตนให้สําเร็จลุล่วงไป ไม่ว่าจะต้องทนลําบากแม้ใหญ่หลวงเพียงไร

The post นิทานเวตาลปัญจวิงศติ เรื่องที่ ๒ appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
https://nekohimahime.online/2022/10/11/%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a5%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b8%8d%e0%b8%88%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%a8%e0%b8%95%e0%b8%b4-%e0%b9%80-2/feed/ 0
นิทานเวตาลปัญจวิงศติ เรื่องที่ ๑ https://nekohimahime.online/2022/10/11/%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a5%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b8%8d%e0%b8%88%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%a8%e0%b8%95%e0%b8%b4-%e0%b9%80%e0%b8%a3/ https://nekohimahime.online/2022/10/11/%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a5%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b8%8d%e0%b8%88%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%a8%e0%b8%95%e0%b8%b4-%e0%b9%80%e0%b8%a3/#respond Tue, 11 Oct 2022 14:22:24 +0000 https://nekohimahime.online/?p=1453 ปัญญาแห่งพุทธิศรีระ แต่โบราณกาล มีเมืองหนึ่งชื่อพาราณสี อันเป็นที่กล่าวกันว่าเป็นที่ประทับของพระศิวะผู้เป็นเจ้าเพราะเมืองนี้เป็นที่อยู่ของผู้บริสุทธิ์ในศาสนา ซึ่งเปรียบเหมือนภูเขาไกรลาสอันเป็นที่ชุมนุมของทวยเทพ แม่นํ้าคงคาอันศักดิ์สิทธิ์มีน้ำเปี่ยมฝั่งตลอดกาลไหลเลียบพระนครนี้ ทำให้ดูเสมือนสร้อยแก้วมณีอันบรรเจิดที่คล้องเอาไว้โดยรอบ ที่พระนครพาราณสีนี้ มีพระราชาองค์หนึ่งทรงนามว่า พระเจ้าประตาปมกุฏปกครองอยู่ พระองค์เป็นผู้เลิศด้วยเดชานุภาพ สามารถปราบปรามเหล่าอริราชศัตรูได้ราบคาบราวกับกองอัคนีที่เผาผลาญป่าใหญ่ให้วอดวาย ฉะนั้นพระองค์มีราชโอรสองค์หนึ่งชื่อ “วัชรมกุฏ” ผู้ทรงโฉมอันงามยอดยิ่งเพียงดังจะเย้ยกามเทพให้ได้อาย เจ้าชายมีสหายผู้หนึ่งชื่อ “พุทธิศรีระ” ซึ่งทรงรักและตีราคาคุณค่าของเขาเท่ากับชีวิตของพระองค์นั่นเทียว แลพุทธิศรีระนั้นเป็นบุตรมนตรีผู้ใหญ่ของพระราชา สมัยหนึ่งเจ้าชายกับพระสหายพากันแสวงหาความบันเทิงสุขโดยการขี่ม้าประพาสป่าไล่ล่าสิงโตอย่างสนุก ทรงยิงธนูตัดสร้อยคอของสีหะเหล่านั้น อันมีลักษณะดังแส้จามรีของมันขาดกระจุย ในที่สุดเสด็จมาถึงป่าใหญ่แห่งหนึ่งที่นั้นมีความงดงามรื่นรมย์ราวกับอุทยานของกามเทพ มีเสียงนกดุเหว่าวิเวกแว่วอ่อนหวาน ผสมผสานมากับสายลมที่แผ่วรําเพยมาจากแนวพฤกษ์อันมีดอกบานสะพรั่งทุกกิ่งก้านกวัดไกวไปมา ระหว่างทิวไม้อันคดโค้งในเบื้องหน้าเป็นทะเลสาบซึ่งมีนํ้าอันใสเขียวดังมรกตและมีระลอกน้อย ๆ วิ่งไล่กันเข้าสู่ฝั่งมิได้ขาด กลางบึงใหญ่มีกอบัวอันสลับสล้างด้วยสีสันวรรณะต่าง ๆ อย่างงดงาม ณ ที่นั้นเจ้าชายทอดพระเนตรเห็นนารีนางหนึ่งมีรูปโฉม งดงามดังเทพอัปสร ลงเล่นนํ้าอยู่พร้อมด้วยคณานางผู้เป็นบริวาร นางมีพักตร์อันงามดังสมบูรณจันทร์ อันทําให้เศวโตตบล (บัวสายสีขาว) ทั้งหลายต้องได้อาย เพียงได้แลเห็นนางครั้งแรก เจ้าชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนว่านางได้คร่าเอาดวงหทัยของพระองค์ไปเสียแล้วด้วยเสน่ห์อันลึกซึ้งของนาง แลนางนั้นกําลังเพลิดเพลินอยู่ด้วยการเล่นนํ้าจนมิทันระวังอาภรณ์ที่หลุดร่วงจากอุระ ขณะที่เจ้าชายและสหายกําลังจ้องดูนางอยู่ ด้วยความสงสัยว่านางเป็นใครนั้น ก็พอดีนางเหลือบมาเห็นเข้า นางเมินหน้าหนีด้วยความอาย แต่แล้วกลับแสดงท่าทีเป็นนัย ๆ ให้ทราบว่านางเป็นใครมาจากไหน นางเด็ดดอกบัวออกจากมาลาที่สวมศีรษะนางดอกหนึ่งเอาทัดหูไว้ นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอาดอกบัวออกจากหู บิดให้เป็นรูปเครื่องประดับอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ทันตบัตร(แผ่นฟันเป็นรูปอาภรณ์ชนิดหนึ่ง) จากนั้นนางหยิบดอกบัวอีกดอกหนึ่งขึ้นวางบนศีรษะ…

The post นิทานเวตาลปัญจวิงศติ เรื่องที่ ๑ appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
ปัญญาแห่งพุทธิศรีระ

แต่โบราณกาล มีเมืองหนึ่งชื่อพาราณสี อันเป็นที่กล่าวกันว่าเป็นที่ประทับของพระศิวะผู้เป็นเจ้าเพราะเมืองนี้เป็นที่อยู่ของผู้บริสุทธิ์ในศาสนา ซึ่งเปรียบเหมือนภูเขาไกรลาสอันเป็นที่ชุมนุมของทวยเทพ แม่นํ้าคงคาอันศักดิ์สิทธิ์มีน้ำเปี่ยมฝั่งตลอดกาลไหลเลียบพระนครนี้ ทำให้ดูเสมือนสร้อยแก้วมณีอันบรรเจิดที่คล้องเอาไว้โดยรอบ

ที่พระนครพาราณสีนี้ มีพระราชาองค์หนึ่งทรงนามว่า พระเจ้าประตาปมกุฏปกครองอยู่ พระองค์เป็นผู้เลิศด้วยเดชานุภาพ สามารถปราบปรามเหล่าอริราชศัตรูได้ราบคาบราวกับกองอัคนีที่เผาผลาญป่าใหญ่ให้วอดวาย

ฉะนั้นพระองค์มีราชโอรสองค์หนึ่งชื่อ “วัชรมกุฏ” ผู้ทรงโฉมอันงามยอดยิ่งเพียงดังจะเย้ยกามเทพให้ได้อาย เจ้าชายมีสหายผู้หนึ่งชื่อ “พุทธิศรีระ” ซึ่งทรงรักและตีราคาคุณค่าของเขาเท่ากับชีวิตของพระองค์นั่นเทียว แลพุทธิศรีระนั้นเป็นบุตรมนตรีผู้ใหญ่ของพระราชา

สมัยหนึ่งเจ้าชายกับพระสหายพากันแสวงหาความบันเทิงสุขโดยการขี่ม้าประพาสป่าไล่ล่าสิงโตอย่างสนุก ทรงยิงธนูตัดสร้อยคอของสีหะเหล่านั้น อันมีลักษณะดังแส้จามรีของมันขาดกระจุย ในที่สุดเสด็จมาถึงป่าใหญ่แห่งหนึ่งที่นั้นมีความงดงามรื่นรมย์ราวกับอุทยานของกามเทพ มีเสียงนกดุเหว่าวิเวกแว่วอ่อนหวาน ผสมผสานมากับสายลมที่แผ่วรําเพยมาจากแนวพฤกษ์อันมีดอกบานสะพรั่งทุกกิ่งก้านกวัดไกวไปมา ระหว่างทิวไม้อันคดโค้งในเบื้องหน้าเป็นทะเลสาบซึ่งมีนํ้าอันใสเขียวดังมรกตและมีระลอกน้อย ๆ วิ่งไล่กันเข้าสู่ฝั่งมิได้ขาด กลางบึงใหญ่มีกอบัวอันสลับสล้างด้วยสีสันวรรณะต่าง ๆ อย่างงดงาม ณ ที่นั้นเจ้าชายทอดพระเนตรเห็นนารีนางหนึ่งมีรูปโฉม
งดงามดังเทพอัปสร ลงเล่นนํ้าอยู่พร้อมด้วยคณานางผู้เป็นบริวาร นางมีพักตร์อันงามดังสมบูรณจันทร์ อันทําให้เศวโตตบล (บัวสายสีขาว) ทั้งหลายต้องได้อาย เพียงได้แลเห็นนางครั้งแรก เจ้าชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนว่านางได้คร่าเอาดวงหทัยของพระองค์ไปเสียแล้วด้วยเสน่ห์อันลึกซึ้งของนาง แลนางนั้นกําลังเพลิดเพลินอยู่ด้วยการเล่นนํ้าจนมิทันระวังอาภรณ์ที่หลุดร่วงจากอุระ ขณะที่เจ้าชายและสหายกําลังจ้องดูนางอยู่

ด้วยความสงสัยว่านางเป็นใครนั้น ก็พอดีนางเหลือบมาเห็นเข้า นางเมินหน้าหนีด้วยความอาย แต่แล้วกลับแสดงท่าทีเป็นนัย ๆ ให้ทราบว่านางเป็นใครมาจากไหน นางเด็ดดอกบัวออกจากมาลาที่สวมศีรษะนางดอกหนึ่งเอาทัดหูไว้ นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอาดอกบัวออกจากหู บิดให้เป็นรูปเครื่องประดับอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ทันตบัตร(แผ่นฟันเป็นรูปอาภรณ์ชนิดหนึ่ง) จากนั้นนางหยิบดอกบัวอีกดอกหนึ่งขึ้นวางบนศีรษะ และเอามือปิดอุระไว้ตรงหัวใจนาง เจ้าชายมองดูอากัปกิริยาของนางอย่างไม่เข้าใจ แต่สหายผู้เป็นบุตรมนตรีเข้าใจโดยตลอด นางโฉมงามนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็ขึ้นจากนํ้าแวดล้อมด้วยบริวารเดินทางกลับไปยังนิวาสสถานของนาง

เมื่อนางเข้าในบ้านก็ล้มตัวลงบนที่นอน มีใจอันเต้นระทึกคิดถึงเจ้าชายด้วยความสงสัยว่าพระองค์จะเข้าใจสัญญาณของนางหรือไม่ ส่วนเจ้าชายวัชรมกุฏ เมื่อมิได้เห็นนางอีกแล้วก็เปรียบเหมือนวิทยาธรที่สิ้นไร้ซึ่งมนตร์วิเศษ เมื่อเสด็จกลับถึงพระนครก็มีแต่จิตประหวัดคิดถึงนางอยู่มิรู้วาย ทรงตกอยู่ในอารมณ์รันทด มีแต่ความเศร้าสร้อยอาวรณ์หาแต่นางผู้เดียว วันหนึ่งบุตรมนตรีเข้ามาเฝ้าและสนทนากันด้วยเรื่องต่าง ๆ พุทธิศรีระบุตรมนตรี ได้ถามเจ้าชายผู้เป็นสหายว่ามีความคิดอย่างไรเรื่องนางงามที่พบที่ทะเลสาบ ในความคิดของตนเห็นว่านางนั้นอาจจะติดต่อได้ง่ายกว่าที่คิดเพราะทุกอย่างไม่มีปัญหาอะไรเลย

เจ้าชายได้ฟังก็พลุ่งขึ้นมาว่า ‚เจ้าพูดได้อย่างไรว่าเข้าหาไม่ยากเลย ข้าไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของนาง ที่ซึ่งนางอยู่หรือแม้แต่หัวนอนปลายตีนของนางทั้งสิ้น เจ้าช่างกวนโมโหข้าเสียจริง‛

เมื่อเจ้าชายตรัสดังนี้ พุทธิศรีระก็ถึงกับอ้าปากค้าง กล่าวว่า ‚อะไรนะ พระองค์ไม่ทราบได้อย่างไรในเมื่อนางให้สัญญาณออกโจ่งแจ้งอย่างนั้น ก็เมื่อนางเอาดอกบัวทัดที่หู นางหมายจะบอกพระองค์ว่า ‘ฉันอยู่ในแว่นแคว้นของพระราชานาม กรรโณตบล’ (ผู้มีดอกกบัวประดับที่หู) เมื่อนางบิดกลับบัวเป็นอาภรณ์ทันตบัตร นางหมายความว่า ‘จงรู้เถิดว่าฉันเป็นลูกของทันตแพทย์ที่เมืองนั้น’ การที่นางหยิบดอกบัวขึ้นชูบนศีรษะว่า นางชื่อปัทมาวดี และการที่นางเอามือทาบหทัยประเทศก็หมายความว่า พระองค์สถิตอยู่ในหัวใจของนางแล้วนั่นเองพระองค์ไม่รู้หรือว่าพระราชากรรโณตบลนั้นเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นกลิงคะ และมีพระสหายที่โปรดปรานคนหนึ่งเป็นหมอฟันชื่อสงครามวรรธน์ ก็ชายผู้นี้แหละมีลูกสาวชื่อ ปัทมาวดี ผู้เป็นมุกดาแห่งโลกทั้งสาม และบิดาของนาง
ตีราคานางเท่ากับชีวิตของเขานั่นเทียว

เรื่องราวเหล่านี้ข้าพเจ้าทราบจากคําคนเขาพูดกันมานานแล้ว เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงตีความหมายของนางได้ถูกต้องไม่ว่านางจะแสดงท่าทีอย่างไร

เมื่อราชบุตรได้ฟังคําเฉลยอันแจ่มแจ้งของบุตรมนตรีดังนี้ ก็มีใจปลอดโปร่งสิ้นความกังวลวิตก มีใบหน้าอันแช่มชื่นขึ้นทันที และเห็นโอกาสที่จะไปหานางอันเป็นที่รักได้โดยง่าย จึงจัดการเสด็จอีกครั้งหนึ่งพร้อมด้วยบุตรมนตรี โดยแสร้งทําเป็นว่าจะไปล่าสัตว์แล้วมุ่งไปหานางโดยทันทีตามเส้นทางเดิม พอมาถึงกลางทาง เจ้าชายก็กระตุ้นม้าเผ่นโผนไปด้วยความเร็วจนข้าราชบริพารตามไม่ทัน แล้วมุ่งหน้าไปยังแคว้นกลิงคะพร้อมด้วยบุตรมนตรีตามเสด็จอย่างใกล้ชิด ณ ที่นั้นชายหนุ่มทั้งสองก็มุ่งไปยังพระนครของพระราชากรรโณตบล แล้วสืบเสาะจนพบคฤหาสน์หลังงามของทันตแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าชายและพระสหายแวะเข้าไปสู่บ้านของหญิงชราผู้หนึ่งซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับคฤหาสน์นั้น พุทธิศรีระจัดการให้หญ้าให้นํ้าแก่ม้าทั้งสองตัว แล้วเอาไปซ่อนในที่ลับตา จากนั้นก็กล่าวแก่หญิงชราต่อพระพักตร์ของเจ้าชายว่า ‚คุณแม่ ท่านเคยรู้จักหมอฟันชื่อสงครามวรรธน์บ้างหรือ‛

พอนางได้ฟังถ้อยคําดังนั้น ก็กล่าวแก่ชายหนุ่มอย่างอ่อนน้อมว่า ‚แม่รู้จักเขาดีทีเดียว ก็แม่นี่แหละเคยเป็นแม่นมของเขา เดี๋ยวนี้เขาให้แม่เป็นคนดูแลลูกสาวของเขาแล้ว แต่แม่ก็ไม่ได้เข้าไปที่บ้านใหญ่นั่นหรอก เพราะไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ จะแต่ง มีแต่ชุดปอน ๆ นี่จะใส่ไปก็อายเขา ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะอ้ายลูกชายชาติชั่ว มันเล่นการพนันหมดเนื้อหมดตัว ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว มันเห็นเสื้อผ้าสวย ๆ ของแม่มีอยู่ มันก็ขนเอาไปจนหมด‛ เมื่อบุตรมนตรีได้ฟังดังนั้นก็ยินดี แลเห็นช่องทางโดยตลอด จึงถอดสร้อยสังวาลออกมอบให้นางพร้อมด้วยของขวัญอีกหลายอย่าง ทําให้นางปลาบปลื้มเป็นอันมาก บุตรมนตรีเห็นได้โอกาสจึงกล่าวแก่นางว่า

‚คุณแม่จงเป็นแม่ของพวกเราเถิด ตอนนี้ฉันมีความลับอย่างหนึ่งที่จะบอกคุณแม่ และขอให้คุณแม่ช่วยสงเคราะห์ด้วย ให้คุณแม่ไปหานางปัทมาวดี ลูกหมอฟันและกล่าวแก่นางว่า เจ้าชายที่เจ้าเห็นที่ทะเลสาบนั้น บัดนี้ มาถึงแล้ว และเพราะความรักของเขาที่มีต่อเจ้าอย่างท่วมท้น เขาจึงรีบให้แม่มาบอกเจ้า‛

เมื่อหญิงชราได้ฟังดังนั้นก็ตอบตกลง เพราะได้ลาภสักการมาไว้แล้วอย่างเต็มที่ รีบกระวีกระวาดเข้าไปพบนางปัทมาวดีในปราสาท และกลับมาในเวลาเพียงชั่วครู่ เจ้าชายและพระสหายเห็นนางกลับมาก็ถามเรื่องราวโดย
ทันที นางได้ฟังก็ตอบว่า ‚แม่ไปพบนางอย่างลับ ๆ และแจ้งข่าวแก่นางว่าเจ้ามาถึงแล้ว พอนางฟังจบก็ด่าข้ายกใหญ่ มิหนําซํ้ายังตบหน้าข้าทั้งสองข้างข้างละทีด้วยฝ่ามือที่ทาด้วยการบูร แล้วไล่ข้ากลับมา นางทําให้ข้าต้องร้องไห้
ด้วยความเสียใจเพราะถูกดูหมิ่นอย่างคาดไม่ถึง นี่ไงล่ะ ลูกเอ๋ย รอยที่นางตบข้ายังเป็นผื่นห้านิ้วอยู่เลยเห็นไหม‛เมื่อได้ฟังดังนี้ เจ้าชายก็รู้สึกเป็นทุกข์เพราะความผิดหวังยิ่งนัก แต่บุตรมนตรีผู้ฉลาดได้กล่าวปลอบโยน
ว่า ‚อย่าทรงเศร้าโศกไปเลยพระเจ้าข้า ที่นางทําอย่างนี้เป็นแต่เพียงปริศนาเท่านั้นหรอก การที่นางบริภาษแม่เฒ่าและตบหน้าทั้งสองแก้มด้วยมือทาการบูรทั้งสิบนิ้วเป็นรอยสีขาวอย่างนั้นก็เพราะนางต้องการจะตอบเป็นนัย ๆ ว่า
ให้พระองค์ทรงรออีกสิบวันข้างขึ้น เพราะระหว่างนี้เป็นวันที่ฤกษ์ไม่ดี‛

หลังจากที่บุตรมนตรีกล่าวปลอบโยนเจ้าราชบุตรดังนี้แล้ว บุตรมนตรีก็ออกไปตลาด แอบเอาเครื่องทองหยองออกขายอย่างลับ ๆ เอาเงินมาให้แม่เฒ่าไปทําอาหารอย่างดีเลิศมากินกันทั้งสามคน หลังจากนั้นเมื่อรอมาครบสิบวัน บุตรมนตรีก็ส่งแม่เฒ่าไปพบนางปัทมาวดีอีกเพื่อดูว่านางจะว่าอย่างไร ฝ่ายหญิงชราหลังจากที่ถูกปรนเปรอด้วยเหล้ายาปลาปิ้งและอาหารนานารสอย่างอิ่มหมีพีมันแล้วก็มีกําลังใจยอมช่วยเหลือเต็มที่ นางเดินทางไปหานางปัทมาวดีอีกครั้งเพื่อเอาใจแขกทั้งสอง นางไปแล้วมิช้าก็กลับมากล่าวแก่ชายทั้งสองว่า ‚แม่ไปมาแล้ว และไม่ทันได้พูดอะไร แต่นางกลับเยาะเย้ยแม่ว่าทําเป็นแม่สื่อดีนัก นางเอามือที่ทาชาดมาแปะหน้าอกข้าเป็นรอยนิ้วมือสามนิ้ว ข้าจึงกลับมายังเจ้าพร้อมด้วยรอยนิ้วมือของนางนี่แหละ‛

เมื่อบุตรมนตรีได้ฟังและพิเคราะห์ด้วยความฉลาดก็ทูลเจ้าชายให้สงบพระทัย และไตร่ตรองในปริศนาของนาง ซึ่งตนเห็นว่าไม่ลี้ลับอะไรเลย ‚นางต้องการจะบอกให้ทราบว่า นางยังไม่ว่างที่จะพบใครในสามวันนี้‛ บุตรมนตรีเฉลยปัญหาอย่างมั่นใจ

หลังจากนั้นอีกสามวัน พุทธิศรีระก็ส่งหญิงเฒ่าไปหานางปัทมาวดีอีก คราวนี้นางปัทมาวดีต้อนรับขับสู ้เป็นอย่างดี ปรนเปรอด้วยอาหารอันเอมโอชและสุราอย่างดี หญิงชราเพลิดเพลินอยู่ที่คฤหาสน์ตลอดวัน จนกระทั่งถึงเวลาเย็นนางจึงลากลับบ้าน ขณะนั้นปรากฏเสียงอื้ออึงในท้องถนนหน้าคฤหาสน์เสียงคนร้องเอะอะว่า ‚ระวังด้วยมีช้างบ้าหลุดจากเสาตะลุงวิ่งมาทางนี้ มันกระทืบคนตายไปหลายคนแล้ว หนีเร็ว‛ นางปัทมาวดีได้ยินดังนั้นจึงกล่าวแก่หญิงชราว่า ‚แม่อย่าออกไปทางถนนใหญ่เลย อันตรายเปล่า ๆ เราจะให้แม่นั่งในกระเช้าแล้วค่อยหย่อนเชือกลงไปจากหน้าต่างดีกว่า พอลงไปถึงสวนแล้วก็ปีนต้นไม้ออกไปที่กําแพง แล้วข้ามกําแพง ลงไปโดยไต่ลงต้นไม้อีกต้นหนึ่ง ถึงทางลัดแล้วแม่ก็กลับไปบ้านเถิด‛ หลังจากกล่าวดังนี้แล้ว นางปัทมาวดีก็ให้หญิงชราลงไปนั่งในกระเช้า เอาเชือกพันแน่นหนา แล้วก็ค่อยหย่อนนางลงทางหน้าต่าง เมื่อลงไปถึงสวนแล้วก็ให้นางทําตามที่บอกจนหญิงเฒ่ากลับสู่บ้านด้วยความปลอดภัย เมื่อนางกลับมาบ้านแล้วก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ชายหนุ่มทั้งสองฟัง บุตร
มนตรีได้ฟังดังนั้นก็กล่าวแก่เจ้าชายว่า ‚ความปรารถนาของพระองค์ถึงความสําเร็จแล้ว เพราะฟังจากถ้อยคําแม่เฒ่านี่ นางปัทมาวดีได้แนะหนทางให้พระองค์ไปสู่บ้านของนางแล้ว เพราะฉะนั้นจงเสด็จไปเถิด ไปเสียวันนี้เลยเวลายํ่าคํ่า ไปตามหนทางที่นางชี้แนะไว้แล้วนั่นแหละ‛

เมื่อบุตรมนตรีกล่าวดังนี้ เจ้าราชบุตรก็เดินทางไปพร้อมด้วยบุตรมนตรีลัดเลาะมาจนถึงแนวกําแพงบ้านนางตามที่หญิงชราบอกไว้ ที่ตรงนั้นมีเชือกผูกกระเช้าหย่อนลงมาจากหน้าต่าง ที่ขอบหน้าต่างแลเห็นสาวใช้กําลังเยี่ยม ๆ มอง ๆ เหมือนนางกําลังคอยหาเจ้าชายอยู่ ดังนั้นเจ้าชายจึงลงไปนั่งในกระเช้า นางสาวใช้สองคนก็ช่วยกันชักกระเช้าขึ้นไปจนถึงหน้าต่าง จากนั้นเจ้าชายก็เสด็จเข้าไปในปราสาทและตรงเข้าไปหานางอันเป็นที่รักบุตรมนตรีเห็นว่าเสร็จธุระของตนแล้วก็กลับที่พัก

ส่วนเจ้าชายเมื่อเข้าไปถึงห้องของนางก็แลเห็นนางนั่งอยู่บนอาสน์ มีใบหน้าอันงามปลั่งเปล่งดังจันทร์เพ็ญฉายแสงอร่ามเรืองในราตรี นางแลเห็นเจ้าชายก็รีบลุกจากแท่นเข้ามากอดไว้ด้วยความเสน่หาอันแผดเผาอุระให้ทรมานมานับเดือน เจ้าชายประคองนางไว้ด้วยความรัก และกระทําวิวาหะต่อนางตามแบบคานธรรพวิวาห์ (การได้เสียกันเองด้วยความพอใจทั้งฝ่ายชายและหญิง วิวาหะชนิดนี้ถือเป็นแบบหนึ่งที่ถูกต้องตามกฏหมายอย่างหนึ่งใน๘ ชนิด) เมื่อความปรารถนาของพระองค์บรรลุความสําเร็จแล้ว เจ้าชายก็ประทับอยู่กับนางเรื่อยมาโดยการลักลอบมิให้รู้ถึงผู้อื่น จนเวลาผ่านไปหลายวัน

วันหนึ่งขณะในที่อยู่กับนางในที่รโหฐาน เจ้าชายรําลึกถึงพระสหายได้ จึงกล่าวแก่นางว่า ‚ดูก่อนเจ้าผู้เป็นที่รัก สหายร่วมใจของข้ากําลังคอยข้าอยู่ที่บ้านแม่เฒ่า เวลาก็ผ่านไปหลายวันแล้ว ข้าคิดว่าควรจะกลับไปเยี่ยมเยียนเขาบ้าง เพราะเขาคอยฟังข่าวจากข้าอยู่ เสร็จธุระแล้วข้าจะกลับมาที่นี่อีก‛

ปัทมาวดีโฉมงามได้ฟังก็นิ่งอยู่ ไตร่ตรองด้วยความฉลาดของนาง แล้วก็กล่าวแก่สามีของนางว่า ‚โอท่านผู้เป็นบดี (สามี หรือนาย) ของข้า เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ก็ดีแล้ว แต่ข้ายังมีความสงสัยอยู่อย่างหนึ่งที่จะถามว่า ก่อนหน้านี้ข้าเคยทําปริศนาหลายอย่างต่อพระองค์ พระองค์ทรงตีปัญหาแตกด้วยความคิดของพระองค์เองหรือ หรือว่าบุตรมนตรีผู้เป็นสหายเป็นคนคิดให้‛

เจ้าราชบุตรได้ฟังดังนั้นก็กล่าวตอบโดยความซื่อว่า ‚ข้าไม่ได้คิดเองเลยสักอย่าง แต่สหายของข้าคือบุตรมนตรีผู้นั้นเป็นผู้แนะนําต่างหาก‛

นางได้ฟังดังนั้นก็คิดในใจด้วยความลํ้าลึก ปกปิดความรู้สึกอันแท้จริงมิให้ปรากฏออกนอกหน้า กล่าวว่า‚พระองค์ทําผิดเสียแล้วที่ไม่แจ้งเรื่องนี้แก่ข้าก่อน เมื่อเขาเป็นสหายของพระองค์ เขาก็ควรจะเป็นพี่ของข้าด้วย ข้าควรจะให้เกียรติแก่เขายิ่งกว่าใคร ๆ ทั้งหมด โดยให้ของขวัญอันมีค่าต่าง ๆ‛

เมื่อนางกล่าวดังนี้แล้ว ตกเวลากลางคืนนางก็ส่งเจ้าชายกลับไปโดยวิธีเดิมเหมือนขามา เจ้าชายก็กลับมาหาพุทธิศรีระและพักอยู่ด้วยกันเป็นเวลาหลายวัน วันหนึ่งราชบุตรกล่าวแก่บุตรมนตรีว่าพระองค์ได้เล่าเรื่องการแก้ปริศนาของเขาให้นางทราบหมดแล้วเพื่อต้องการจะยกย่องความฉลาดของเขา สหายหนุ่มได้ฟังก็ตําหนิว่าเป็นการเสี่ยงมากที่ทรงทําดังนั้น การสนทนาระหว่างสองชายดําเนินไปจนกระทั่งเย็นคํ่า วันต่อมา หลังจากการสวดประจําวันเวลาเช้าสิ้นสุดลง ก็ปรากฏว่ามีสาวใช้คนสนิทของนางปัทมาวดีมารอพบอยู่ เอาหมากพลูมาให้พร้อมกับอาหารซึ่งน่ากินหลายอย่าง นางถามสารทุกข์สุกดิบของบุตรมนตรีตามธรรมเนียม แล้วมอบของกินให้แก่เขาและกล่าวแก่เจ้าชายว่า นางปัทมาวดีกําลังคอยอยู่ ขอให้พระองค์เสด็จไปเสวยอาหารที่บ้านของนางโดยเร็ว นางกล่าวจบก็รีบผลุนผลันกลับไป บุตรมนตรีเห็นนางไปแล้วก็กล่าวแก่เจ้าชายว่า

‚ข้าแต่ราชบุตร โปรดคอยดู ข้าจะแสดงอะไรให้ดูสักอย่าง‛ กล่าวจบก็นําอาหารในภาชนะนั้นมาให้สุนัขกินสุนัขกินอาหารนั้นยังไม่ทันหมดก็ล้มลงขาดใจตาย เจ้าชายแลดูด้วยความงุนงงตรัสว่า ‚นี่มันอะไรกัน ข้าไม่เข้าใจ‛

บุตรมนตรีจึงอธิบายว่า ‚ความจริงก็คือ นางผู้เป็นที่รักของพระองค์รู้ว่าข้าเป็นคนมีปัญญา เพราะสามารถตีปัญหาของนางออกทุกอย่าง นางจึงส่งอาหารใส่ยาพิษมาให้ข้ากิน ที่นางทําเช่นนี้ก็เพราะนางรักพระองค์มากเหลือเกิน นางต้องการให้พระองค์รักนางอย่างสุดจิตสุดใจ และนางเห็นว่า ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าอาจเป็นก้างขวางคอนาง และอาจจะยุยงพระองค์ให้เหินห่างจากนางเมื่อไรก็ได้ นางจึงคิดจะฆ่าเสีย มิให้ข้านําพาพระองค์เสด็จกลับพระนคร แต่พระองค์อย่าโกรธนางเลย ทางที่ดีขอให้พระองค์เล้าโลมนางจนคิดหนีจากสกุลติดตามพระองค์กลับสู่พระนครจะดีกว่า ข้าจะเป็นผู้ออกอุบายดําเนินเรื่องนี้เอง‛

เมื่อบุตรมนตรีทูลดังนี้ เจ้าราชบุตรก็ทรงยิ้มแย้มด้วยความพอพระทัยตรัสว่า ‚เจ้านี่สมแล้วที่ได้ชื่อว่า พุทธิศรีระ เพราะเจ้าเป็นแหล่งของความฉลาดแท้เทียว‛

ขณะที่เจ้าชายกําลังกล่าวยกย่องพระสหายอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนเป็นอันมากส่งเสียงปริเทวนาการมาจากท้องถนนว่า ‚โธ่เอ๋ย ช่างกระไรราชบุตรน้อยของพระราชามาด่วนจากไปเสียแล้ว ไม่ควรเลย ยังเด็กอยู่แท้ ๆ‛ บุตรมนตรีได้ยินเสียงดังนั้นก็รู้สึกยินดีนัก กล่าวแก่เจ้าชายว่า ‚รีบเสด็จไปบ้านนางเถอะ คืนนี้เมื่อพระองค์อยู่กับนางจงพยายามให้นางดื่มสุราให้มาก ให้นางเมาจนสิ้นสติแน่นิ่ง แล้วจงเอาเหล็กเผาไฟนาบสะโพกของนางเป็นเครื่องหมายแล้วเก็บสร้อยถนิมพิมพาภรณ์เครื่องประดับกายของนางมาให้หมด จากนั้นขอให้เสด็จกลับมาทางเดิม เมื่อกลับมาบ้านแล้วข้าจะดําเนินการตามแผนที่คิดไว้ต่อไป‛ เมื่อบุตรมนตรีกล่าวดังนี้แล้วก็มอบเหล็กแหลมรูปตรีศูลอันเล็ก ๆ มีลักษณะแหลมราวกับขนหมูป่าให้แก่เจ้าชายเพื่อไปกระทําตามแผน เจ้าชายรับมาแล้วทรงพิจารณาดูอาวุธน้อยอันดําเป็นมันขลับราวกับตะกั่วดํา พลางคิดว่าทั้งนางปัทมาวดีผู้เป็นที่รัก กับพุทธิศรีระผู้เป็นสหายแก้ว ดูจะเป็นคนใจหินด้วยกันทั้งคู่ไม่มีใครเป็นรองใครจึงตรัสว่า ‚เอาเถอะข้าจะทําตามที่เจ้าสั่งทุกอย่าง‛

คืนนั้นเจ้าชายเสด็จไปยังคฤหาสน์ของนางปัทมาวดี เพราะขึ้นชื่อว่าเจ้าชายย่อมจะต้องทําตามคําแนะนําของมนตรีที่ฉลาดเสมอ ณ ที่นั้นพระองค์ได้ภิรมย์อยู่ด้วยนางจนเวลาค่อนคืน ปรนเปรอนางด้วยสุรา จนนางเมามายถึงขนาดและแน่นิ่งไป เจ้าชายเห็นได้โอกาสก็หยิบตรีศุลมาลนไฟแล้วนาบลงที่สะโพกของนางโดยนางยังคงสลบไสลไม่ได้สติเช่นเดิม เสร็จแล้วทรงรวบรวมรัตนาภรณ์ของนางใส่ห่อผ้า เสด็จเร้นพระองค์ลงจากหน้าต่างในความมืด แฝงกายลัดเลาะมาถึงบ้าน แจ้งเหตุการณ์ทุกอย่างให้บุตรมนตรีทราบ ทําให้บุตรมนตรีดีใจที่แผนการประสบผลสําเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว

รุ่งเช้าบุตรมนตรีแอบไปยังสุสานนอกเมือง พร้อมด้วยราชบุตร และเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยบุตรมนตรีปลอมตนเป็นโยคี ส่วนเจ้าชายปลอมเป็นสาวก เสร็จแล้วบุตรมนตรีกล่าวแก่เจ้าชายว่า ‚พระองค์จงนํารัตนาวลีนี้ไปเร่ ขายในตลาด แล้วทําเป็นโก่งราคาเสียจนไม่มีใครกล้าแตะ จงเดินเร่ขายไปเรื่อย ๆ ทําให้ใคร ๆ ได้เห็นกันจนทั่ว และเมื่อถูกราชบุรุษ (ตํารวจ) จับ จงทําเป็นไม่รู้อิโหน่อิเหน่ตอบแต่เพียงว่า ท่านโยคีอาจารย์ของข้าสั่งให้ข้าเอาสร้อยเส้นนี้มาขาย

เมื่อบุตรมนตรีกําชับกําชาเรียบร้อยแล้วก็ส่งเจ้าชายออกไปที่ตลาด เจ้าชายแกล้งตระเวนขายสายสร้อยมณีไปทั่วตลาด ในที่สุดก็ถูกราชบุรุษจับ เพราะราชบุรุษได้รับแจ้งความมาว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัตนาภรณ์ที่โจรเอาไปจากลูกสาวเศรษฐีผู้เป็นทันตแพทย์ เมื่อราชบุรุษจับกุมเจ้าชายไปแล้วก็นําไปมอบแก่ตุลาการ ตุลาการแลเห็นราชบุตรแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของโยคี ก็รีบแสดงความเคารพและถามด้วยความนอบน้อมว่า ‚ข้าแต่ท่านสาธุ ท่านเอาสร้อยมณีเส้นนี้มาจากไหน ท่านรู้หรือไม่ว่า สร้อยเส้นนี้เป็นของธิดาเศรษฐีใหญ่ คือธิดาทันตแพทย์หลวง นางทําหายไปโดยไร้ร่องรอยจําไม่ได้ว่าที่ไหน บางทีอาจจะถูกขโมยเมื่อคืนนี้ก็ได้‛

เมื่อเจ้าชายผู้ปลอมเป็นสาธุได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ‚ท่านมหาคุรุผู้เป็นอาจารย์ของข้าเป็นคนมอบให้ข้าเอง ถ้าท่านอยากรู้อะไรก็จงสอบถามท่านคุรุเถิด‛

ตุลาการได้ฟังก็เดินทางไปที่สุสาน แลเห็นบุตรมนตรีนั่งอยู่ คิดว่าเป็นโยคีจึงเข้าไปทําความเคารพและถามว่า ‚ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านได้มุกดาวลีเส้นนี้มาจากไหน ข้าได้มาจากศิษย์ของท่าน‛

เมื่อหนุ่มเจ้าเล่ห์ได้ฟังก็ตอบว่า ‚ข้าเป็นนักบวชแสวงบุญ เดินทางท่องเที่ยวจาริกแสวงบุญไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่พํานักถาวร ข้าชอบท่องเที่ยวไปในไพรกว้าง ออกจากป่าโน้นเข้าป่านี้ตามอําเภอใจของข้า คราวนี้ประเหมาะได้เจอเรื่องตื่นเต้นเข้าจนได้ เมื่อคืนข้ามาพักอยู่ในสุสานนี้ ข้าได้เห็นนางแม่มดจํานวนมากมาประชุมกันที่นี่ พวกมันคนหนึ่งนําเอาร่างสลบไสลของชายองค์หนึ่งมาด้วย มันเอาร่างเปล่าเปลือยของชายเคราะห์ร้ายมาวางเป็นเครื่องบูชายัญแด่องค์พระไภรวะ (ผู้น่ากลัว หมายถึงพระศิวะ (อิศวร) ปางดุร้าย) นางแม่มดตนหนึ่งมีอํานาจตบะแรงกล้ามิใช่น้อย แอบเข้ามาขโมยสร้อยประคำที่ข้าใช้ท่องบนมนตราอันศักดิ์สิทธิ์ไป ข้าลืมตาขึ้นเห็นนางตัวดีวิ่งหนีไปข้างหน้า ข้าโกรธมาก วิ่งตามไปจิกหัวมัน กระชากสร้อยประคําคืนมาแล้วมัดนางไว้ เอาตรีศุลของข้าลนไฟแล้วนาบสะโพกมัน ข้าหยิบสร้อยมุกดาที่มันสวมคอเอามาด้วย แล้วปล่อยมันไป ข้าเห็นว่ารัตนาวลีนี้เป็นของมีค่า มิใช่ของอันดาบสพึงเก็บเอาไว้ใช้สอย จึงให้ลูกศิษย์ข้าเอาไปขายที่ตลาด เรื่องก็มีเท่านี้แหละ‛

เมื่อตุลาการได้ฟังเรื่องราวโดยตลอดเช่นนั้นก็รีบกลับเข้าวังทูลพระราชาให้ทรงทราบ พระราชาได้ฟังรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่มีเรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้น ในที่สุดทรงสรุปเอาว่า สร้อยมุกดานั้นชะรอยจะเป็นเส้นเดียวกับเส้นที่หายไป พระราชาจึงส่งนางพนักงานชราที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้คนหนึ่งไปสืบที่บ้านเศรษฐี เพื่อดูว่าธิดาเศรษฐผู้นั้นมีรอยรูปตรีศุลอยู่ที่สะโพกหรือหาไม่ หญิงเฒ่าไปแล้วมิช้าก็กลับมาทูลว่า นางปัทมาวดีนั้นมีรอยรูปตรีศูลบนสะโพกเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อได้ฟังดังนั้นพระราชาก็ทรงมั่นพระทัยว่า นางปัทมาวดีเป็นแม่มด และเป็นคนเดียวกับที่ฆ่าพระโอรสของพระองค์เป็นแน่แท้ ดังนั้นพระองค์จึงเสด็จไปแต่ลําพัง เข้าไปหาโยคีที่สุสาน และถามว่า พระองค์ควรจะจัดการอย่างแก่นางปัทมาวดี โยคีปลอมจึงทูลแนะนําให้เนรเทศนางไปเสียจากพระนคร พระราชาจึงออกคําสั่งให้เนรเทศนางไปเสีย ทําให้บิดามารดาของนางเศร้าโศกเพียงชีวิตจะแตกสลาย เมื่อนางปัทมาวดีถูกขับไล่ออกจากเมือง เสื้อผ้าแพรพรรณและถนิมพิมพาภรณ์ของนางก็ถูกยึดไปหมด เหลือแต่ผ้านุ่งห่มปอน ๆ ผืนเดียวนางเข้าไปอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว สิ้นความคิดที่จะช่วยเหลือตัวเองนั่งซึมเซาอยู่ ตกเย็นบุตรมนตรีกับเจ้าชายเปลี่ยนเครื่องแต่งกายนักบวช แล้วขี่ม้าเข้ามาในป่าตรงไปหานาง ปลอบโยนนางให้คลายโศกแล้วเจ้าชายก็อุ้มนางขึ้นขี่ม้าตัวเดียวกันเดินทางกลับพระนครพาราณสี และดํารงชีวิตอยู่ด้วยกันด้วยความผาสุก ส่วนเศรษฐีทันตแพทย์ เมื่อธิดาของตนจากไปแล้วและมิได้ยินข่าวเกี่ยวกับนางอีกก็คิดว่านางคงถูกสัตว์ป่ากินสิ้นชีวิตไปแล้ว มีความทุกข์ระทมแสนสาหัส ก็ตรอมใจตาย ต่อมามิช้านางผู้ภริยาก็ตายตามไปด้วยอีกคนหนึ่ง

ฝ่ายเวตาลเมื่อเล่าเรื่องจบลงแล้ว ก็แสร้งกล่าวแก่พระราชาว่า ‚โอ อารยบุตร ข้ามีความสงสัยอยู่อย่างหนึ่งในเรื่องที่เล่ามานี้ว่า ในกรณีที่บิดามารดาของนางปัทมาวดีต้องสิ้นชีวิตลงไปนี้ ทรงเห็นว่าเป็นความผิดของใครบุตรมนตรี หรือว่าเจ้าชาย หรือนางปัทมาวดีกันแน่ โปรดทรงวินิจฉัยให้ข้าฟังหน่อยเถอะ เพราะพระองค์ก็ได้ชื่อว่าเป็นยอดนักปราชญ์ผู้หนึ่ง โอ ราชะ ถ้าพระองค์ไม่กล่าวคําจริงทั้ง ๆ ที่ทรงรู้ดีอยู่แก่ใจแล้วละก็ พระเศียรของพระองค์จะต้องแยกออกเป็นร้อยเสี่ยงแน่เทียว‛

เมื่อเวตาลกล่าวดังนี้ พระราชาผู้เป็นสัตยเคราะห์ (ผู้ยึดมั่นในความสัตย์) ก็ตกพระทัยเพราะความเกรงกลัวในคําสาป จึงตรัสว่า ‚โอ เวตาล เจ้าก็เป็นผู้ชํานิชํานาญในมายาศาสตร์ทั้งปวง เรื่องนี้ยากเย็นอะไร บุคคลทั้งสามที่เจ้าเอ่ยมานั้นข้าไม่เห็นว่าจะมีใครเป็นผู้ผิดแม้แต่คนเดียว ความผิดในเรื่องนี้ทั้งหมดเป็นของพระราชากรรณโณตบลนั่นต่างหาก‛

เวตาลได้ฟังก็กล่าวว่า ‚อะไรกัน พระราชาเป็นผู้ผิดด้วยเหตุใด บุคคลทั้งสามนั่นแหละเป็นผู้ก่อความผิดเกี่ยวเนื่องกันทั้งสามคน ก็กานั้นเสพของสกปรกจะต้องพลอยมีความผิดด้วยหรือ ในเมื่อหงส์นั้นมิได้กินภักษาหารเหมือนกา แต่กินข้าวเปลือกแทน‛

พระราชาตรัสอธิบายว่า ‚ว่าตามจริงคนทั้งสามมิได้ทําความผิดเลยสักนิด บุตรมนตรีไม่ได้ทําผิดเพราะสิ่งที่เขาทําไปเป็นเพราะเขาต้องการจะช่วยเจ้านายของเขา นับเป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องทําอยู่แล้วในฐานเสวกและสหายส่วนนางปัทมาวดีและเจ้าราชบุตรก็มิได้ทําผิดอะไร เพราะทั้งสองคนต่างก็ถูกเผาไหม้ด้วยพิษศรกามเทพเช่นเดียวกัน สิ่งที่พวกเขากระทําไปก็เพราะเขาต่างรักกัน และทําไปด้วยความโง่เขลาต่างหาก จึงไม่ควรถูกตําหนิในเรื่องนี้ ก็พระราชากรรโณตบลนั่นแหละ ขาดความรู้ความเข้าใจในนิติศาสตร์อันเป็นหลักที่พระเจ้าแผ่นดินควรจะรู้ ไม่สืบสวนข้อเท็จจริงให้ประจักษ์ในงานอันเกี่ยวกับแว่นแคว้นที่ตนปกครอง ไม่รู้จักการใช้จารชนให้เป็นประโยชน์ แม้ในเรื่องของราษฎรภายใต้อํานาจของตัวเองก็ไม่รู้ ไม่มีความเฉลียวในเล่ห์ของทรชน ขาดความชํานิชํานาญในการตีความสิ่งที่ปรากฏแม้ง่าย ๆ ที่กล่าวมานี้แล คือความบกพร่องอันควรนับว่าเป็นความผิดของพระราชากรรโณตบลโดยแท้‛ เวตาลผู้สิงอยู่ในศพเมื่อได้ฟังพระราชากล่าวดังนั้น ทราบว่าเป็นคําตอบที่ถูกต้องแต่พระราชาได้ลืมคําสัญญาที่ว่าจะไม่พูดแล้ว จึงเป็นโอกาสอันดีที่ตนจะหนีไป เวตาลก็ผละจากไหล่ของพระราชาและอันตรธานหายไป ทําให้พระราชาตริวิกรมเสนต้องเสด็จเที่ยวติดตามเพื่อจับเอาตัวมาอีก

The post นิทานเวตาลปัญจวิงศติ เรื่องที่ ๑ appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
https://nekohimahime.online/2022/10/11/%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%a7%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a5%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b8%8d%e0%b8%88%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%a8%e0%b8%95%e0%b8%b4-%e0%b9%80%e0%b8%a3/feed/ 0
นักปราชญ์หนุ่ม กับ ข้าวฟ่างเมล็ดเดียว https://nekohimahime.online/2022/06/30/%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%8a%e0%b8%8d%e0%b9%8c%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%a1-%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a-%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%9f/ https://nekohimahime.online/2022/06/30/%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%8a%e0%b8%8d%e0%b9%8c%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%a1-%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a-%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%9f/#respond Thu, 30 Jun 2022 18:01:04 +0000 https://nekohimahime.online/?p=1411 นักปราชญ์หนุ่ม กับ ข้าวฟ่างเมล็ดเดียว เลื่อน >> กาลครั้งหนึ่งมีนักปราชญ์หนุ่มที่ยากจนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขาพากเพียรพยายามสอบเพื่อเข้ารับราชการด้วยการอ่าน และเขียน ทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อการสอบใกล้เข้ามา เหล่าปราชญ์ประจำหมู่บ้านต่างก็เตรียมที่จะเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อไปสอบ เหล่านักปราชญ์ทั้งหลายต่างเตรียมสัมภาระมากมายและขี่ม้าเพื่อออกเดินทาง ต่างจากนักปราชญ์หนุ่มยากจนที่มีเพียงเมล็ดข้าวฟ่างเมล็ดเดียวติดตัวเท่านั้น เมื่อเดินทางจนฟ้ามืดแล้ว นักปราชญ์หนุ่มได้เดินทางมาเจอกับโรงเตี๊ยม และได้ฝากข้าวฟ่างไว้กับเจ้าของโรงเตี๊ยม “ข้าวฟ่างนี้มีค่ามากสำหรับฉัน ดังนั้นโปรดเก็บมันไว้และส่งคืนให้กับฉันในพรุ่งนี้เช้าด้วย” เขาบอกกับเจ้าของโรงเตี๊ยม แต่เจ้าของโรงเตี๊ยมมองว่าก็แค่ข้าวฟ่างธรรมดา ๆ เท่านั้นจึงเป่ามันออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร พอถึงรุ่งเช้า นักปราชญ์หนุ่มพยายามเอาข้าวฟ่างคืนทันทีที่เขาลืมตา “ข้าวฟ่างถูกหนูบ้านของเรากินไปหมดแล้ว” เจ้าของโรงเตี๊ยมบอก “อะไรนะ นั่นเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของฉันเชียวนะ ท่านนำหนูที่กลืนข้าวฟ่างมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!” นักปราชญ์หนุ่มโวย เจ้าของโรงเตี๊ยมจึงนำหนูบ้านตัวหนึ่งมามอบให้กับนักปราชญ์ เมื่อนักปราชญ์ได้รับหนูแล้วก็เดินทางต่อไป ครั้นเมื่อเดินทางจนฟ้ามืด นักปราชญ์ก็ได้เดินทางมาถึงโรงเตี้ยมอีกแห่งหนึ่ง เขาก็ได้ฝากของมีค่าไว้กับเจ้าของโรงเตี้ยมอีก “หนูตัวนี้ค่ามากสำหรับฉัน ดังนั้นโปรดดูแลมันอย่างดีและส่งคืนพรุ่งนี้เช้าด้วย” เขาแจ้งเจ้าของโรงเตี๊ยม แต่เจ้าของโรงเตี๊ยมและภรรยาของเขา ได้โยนหนูสกปรกออกไปโดยไม่คิดเลย วันรุ่งขึ้น เมื่อนักปราชญ์ถามถึงหนู เจ้าของโรงเตี๊ยมจึงบอกว่าแมวกินหนูไปแล้ว “อะไรนะ นั่นเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของฉันเชียวนะ ให้ท่านนำแมวที่กินหนูของฉันมาเดี๋ยวนี้!” นักปราชญ์บอก เจ้าของโรงเตี้ยมจึงไปจับแมวขี้เซาตัวหนึ่งมาให้นักปราชญ์หนุ่ม เมื่อนักปราชญ์หนุ่มได้รับแมวแล้วก็ออกเดินทางต่อไป และอีกครั้งที่นักปราชญ์หนุ่มเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล “แมวตัวนี้ค่ามากสำหรับฉัน ดังนั้นโปรดดูแลมันอย่างดีและส่งคืนพรุ่งนี้เช้าด้วย” แต่เจ้าของโรงเตี๊ยมกลับโยนมันเข้าไปในคอกวัวโดยไม่คิดอะไร วันรุ่งขึ้น เจ้าของโรงเตี๊ยมบอกว่า…

The post นักปราชญ์หนุ่ม กับ ข้าวฟ่างเมล็ดเดียว appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
นักปราชญ์หนุ่ม กับ ข้าวฟ่างเมล็ดเดียว

เลื่อน >>

กาลครั้งหนึ่งมีนักปราชญ์หนุ่มที่ยากจนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขาพากเพียรพยายามสอบเพื่อเข้ารับราชการด้วยการอ่าน และเขียน ทั้งกลางวันและกลางคืน

เมื่อการสอบใกล้เข้ามา เหล่าปราชญ์ประจำหมู่บ้านต่างก็เตรียมที่จะเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อไปสอบ เหล่านักปราชญ์ทั้งหลายต่างเตรียมสัมภาระมากมายและขี่ม้าเพื่อออกเดินทาง ต่างจากนักปราชญ์หนุ่มยากจนที่มีเพียงเมล็ดข้าวฟ่างเมล็ดเดียวติดตัวเท่านั้น

เมื่อเดินทางจนฟ้ามืดแล้ว นักปราชญ์หนุ่มได้เดินทางมาเจอกับโรงเตี๊ยม และได้ฝากข้าวฟ่างไว้กับเจ้าของโรงเตี๊ยม

“ข้าวฟ่างนี้มีค่ามากสำหรับฉัน ดังนั้นโปรดเก็บมันไว้และส่งคืนให้กับฉันในพรุ่งนี้เช้าด้วย” เขาบอกกับเจ้าของโรงเตี๊ยม แต่เจ้าของโรงเตี๊ยมมองว่าก็แค่ข้าวฟ่างธรรมดา ๆ เท่านั้นจึงเป่ามันออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร

พอถึงรุ่งเช้า นักปราชญ์หนุ่มพยายามเอาข้าวฟ่างคืนทันทีที่เขาลืมตา

“ข้าวฟ่างถูกหนูบ้านของเรากินไปหมดแล้ว” เจ้าของโรงเตี๊ยมบอก

“อะไรนะ นั่นเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของฉันเชียวนะ ท่านนำหนูที่กลืนข้าวฟ่างมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!” นักปราชญ์หนุ่มโวย เจ้าของโรงเตี๊ยมจึงนำหนูบ้านตัวหนึ่งมามอบให้กับนักปราชญ์ เมื่อนักปราชญ์ได้รับหนูแล้วก็เดินทางต่อไป

ครั้นเมื่อเดินทางจนฟ้ามืด นักปราชญ์ก็ได้เดินทางมาถึงโรงเตี้ยมอีกแห่งหนึ่ง เขาก็ได้ฝากของมีค่าไว้กับเจ้าของโรงเตี้ยมอีก

“หนูตัวนี้ค่ามากสำหรับฉัน ดังนั้นโปรดดูแลมันอย่างดีและส่งคืนพรุ่งนี้เช้าด้วย” เขาแจ้งเจ้าของโรงเตี๊ยม แต่เจ้าของโรงเตี๊ยมและภรรยาของเขา ได้โยนหนูสกปรกออกไปโดยไม่คิดเลย

วันรุ่งขึ้น เมื่อนักปราชญ์ถามถึงหนู เจ้าของโรงเตี๊ยมจึงบอกว่าแมวกินหนูไปแล้ว

“อะไรนะ นั่นเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของฉันเชียวนะ ให้ท่านนำแมวที่กินหนูของฉันมาเดี๋ยวนี้!” นักปราชญ์บอก เจ้าของโรงเตี้ยมจึงไปจับแมวขี้เซาตัวหนึ่งมาให้นักปราชญ์หนุ่ม เมื่อนักปราชญ์หนุ่มได้รับแมวแล้วก็ออกเดินทางต่อไป

และอีกครั้งที่นักปราชญ์หนุ่มเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล

“แมวตัวนี้ค่ามากสำหรับฉัน ดังนั้นโปรดดูแลมันอย่างดีและส่งคืนพรุ่งนี้เช้าด้วย” แต่เจ้าของโรงเตี๊ยมกลับโยนมันเข้าไปในคอกวัวโดยไม่คิดอะไร

วันรุ่งขึ้น เจ้าของโรงเตี๊ยมบอกว่า แมวถูกวัวเหยียบตายเสียแล้ว

“อะไรนะ นั่นเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของฉัน มอบวัวที่เหยียบแมวของฉันมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!” เจ้าของโรงเตี๊ยมจึงจูงวัวมาให้นักปราชญ์ เมื่อนักปราชญ์หนุ่มได้รับวัวแล้วก็ออกเดินทางไปพร้อมกับวัวตัวนั้น

หลังจูงวัวไประยะหนึ่ง พระอาทิตย์ก็ตกดิน ฟ้าเริ่มมืด นักปราชญ์หนุ่มก็ได้เข้าพักในโรงเตี๊ยมอีกเช่นเคย

“วัวตัวนี้ค่ามากสำหรับฉัน ดังนั้นโปรดดูแลมันอย่างดีและส่งคืนพรุ่งนี้เช้าด้วย” เจ้าของโรงเตี๊ยมจึงผูกวัวไว้กับโรงนาโดยไม่ได้คิดอะไร

วันรุ่งขึ้น เมื่อนักปราชญ์หนุ่มถามถึงวัวเพื่อนำมันออกเดินทางไปพร้อมกัน ปรากฎว่า ภรรยาของเจ้าของโรงเตี๊ยมคิดว่ามันเป็นวัวของพวกเขา จึงได้ขายให้กับท่านเศรษฐีคิมตั้งแต่เมื่อวาน

“อะไรนะ มันเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของฉัน ดังนั้นโปรดบอกที่อยู่ของบ้านท่านเศรษฐีคิม ผู้ที่ซื้อวัวของฉันมาเดี๋ยวนี้!”

และเมื่อนักปราชญ์หนุ่ม ตามไปถึงบ้านของท่านเศรษฐีคิม หลังจากได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว ท่านเศรษฐีคิมจึงบอกว่าได้นำวัวของนักปราชญ์หนุ่มไปทำอาหารจนสุกแล้ว และบางส่วนเข้าไปในท้องของลูกสาวเรียบร้อยแล้ว

“อะไรนะ นั่นเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของฉัน ท่านต้องมอบลูกสาวที่กินวัวของฉันมาให้ฉันเดี๋ยวนี้”

หลังจากที่นักปราชญ์หนุ่มพูดออกไปเช่นนั้น ท่านเศรษฐีคิมกลับชอบใจในความกล้าหาญของนักปราชญ์หนุ่มผู้นี้

“ได้ซิ แต่เจ้าจะต้องสอบเข้ารับราชการให้ได้เสียก่อน” หลังจากวันนั้น นักปราชญ์หนุ่มก็จดจ่ออยู่กับการเรียนทั้งกลางวันและกลางคืนในคฤหาสน์ของท่านเศรษฐีคิม

และหลังจากการสอบเสร็จสิ้นแล้วนั้น นักปราชญ์หนุ่มก็ได้รับตำแหน่งทางราชการ ท่านเศรษฐีคิมจึงต้องทำตามคำสัญญาของเขา ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา นักปราชญ์หนุ่มเข้ากันได้ดีกับลูกสาวของท่านเศรษฐีคิม ทั้งสองได้ตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น ทำให้ทุกคนแสดงความยินดีกับการแต่งงานของพวกเขา นักปราชญ์หนุ่มยากจน ผู้น่าสงสารซึ่งมีข้าวฟ่างเพียงเมล็ดเดียว ได้สร้างครอบครัวที่อบอุ่น และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป

The post นักปราชญ์หนุ่ม กับ ข้าวฟ่างเมล็ดเดียว appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
https://nekohimahime.online/2022/06/30/%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%8a%e0%b8%8d%e0%b9%8c%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b9%88%e0%b8%a1-%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a-%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%9f/feed/ 0
เรื่องย่อ หมากับแมว https://nekohimahime.online/2022/06/30/%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a2%e0%b9%88%e0%b8%ad-%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%81%e0%b8%a1%e0%b8%a7/ https://nekohimahime.online/2022/06/30/%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a2%e0%b9%88%e0%b8%ad-%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%81%e0%b8%a1%e0%b8%a7/#respond Thu, 30 Jun 2022 15:50:45 +0000 https://nekohimahime.online/?p=1377 หมากับแมว เลื่อน >> กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวประมงชราผู้น่าสงสารอาศัยอยู่กับภรรยาในบ้านหลังน้อยหลังหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่ง คุณปู่กำลังเดินทางกลับบ้านจากตกปลา “เหมียว เหมียว!” คุณปู่เห็นแมวร้องไห้ “เหมียว เหมียว!”  “เฮ้ เจ้าคงจะหิวมากสินะ มาสิมาอยู่ด้วยกัน ฉันจะเลี้ยงดูเจ้าเอง ” ว่าแล้วคุณปู่ก็พาแมวตัวนั้นกลับบ้าน และเลี้ยงดูอย่างดี วันถัดมา คุณปู่กำลังเดินทางกลับบ้านจากการตกปลาพร้อมกับเจ้าแมว “อื้อออออออออออออออออออออออออออออออออ” สุนัขกำลังนอนอยู่ที่พื้น สภาพหมดเรี่ยวแรงหมือนกับเจ้าแมว “เฮ้ เจ้านายของเจ้าไปอยู่ไหนเสียล่ะ ทำไมมานอนครางอยู่ตรงนี้” คุณปู่ถามเจ้าสุนัข “อยากอยู่กับเราไหม” คุณปู่ถามมันอีกครั้ง เจ้าสุนัขจึงตอบรับ แล้วคุณปู่พาสุนัขจรจัดตัวนั้นกลับบ้านอีกตัวหนึ่ง ตอนนี้สมาชิกในบ้านจึงมีทั้งคุณปู่ คณย่า เจ้าแมว และเจ้าสุนัขใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน วันรุ่งขึ้น คุณปู่ก็ไปตกปลาพร้อมกับเจ้าแมวและเจ้าสุนัข วันนี้คุณปู่จับปลาคาร์ฟตัวใหญ่ได้โดยไม่คาดคิดก็ดีใจมาก แต่ไม่ทันไร คุณปู่ก็เห็นน้ำตาของปลาคาร์ฟไหลออกมาเป็นทาง “คุณปู่” ได้โปรดเมตตาข้าเถิด เจ้าปลาคาร์ฟคร่ำครวญ ด้วยความสงสาร คุณปู่จึงปล่อยปลาคาร์พตัวใหญ่ตัวนั้นไป เพื่อตอบแทนบุญคุณ เจ้าปลาคาร์ฟจึงมอบหินวิเศษ ที่สามารถบันดาลคำอธิษฐานให้เป็นจริงแก่คุณปู่ เมื่อคุณปู่กลับมาถึงบ้าน เขาก็หยิบหินวิเศษนี้ขึ้นมาดู และขอพรตามที่ปลาคาร์ฟบอก “ขอให้ฉันรวย!” ทันทีที่พูดจบ บ้านทั้งหลังก็เต็มไปด้วยอาหารและทรัพย์สมบัติ คุณปู่จึงร่ำรวยและใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล…

The post เรื่องย่อ หมากับแมว appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
หมากับแมว

เลื่อน >>

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวประมงชราผู้น่าสงสารอาศัยอยู่กับภรรยาในบ้านหลังน้อยหลังหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่ง คุณปู่กำลังเดินทางกลับบ้านจากตกปลา

“เหมียว เหมียว!” คุณปู่เห็นแมวร้องไห้

“เหมียว เหมียว!”  “เฮ้ เจ้าคงจะหิวมากสินะ มาสิมาอยู่ด้วยกัน ฉันจะเลี้ยงดูเจ้าเอง ” ว่าแล้วคุณปู่ก็พาแมวตัวนั้นกลับบ้าน และเลี้ยงดูอย่างดี

วันถัดมา คุณปู่กำลังเดินทางกลับบ้านจากการตกปลาพร้อมกับเจ้าแมว

“อื้อออออออออออออออออออออออออออออออออ” สุนัขกำลังนอนอยู่ที่พื้น สภาพหมดเรี่ยวแรงหมือนกับเจ้าแมว

“เฮ้ เจ้านายของเจ้าไปอยู่ไหนเสียล่ะ ทำไมมานอนครางอยู่ตรงนี้” คุณปู่ถามเจ้าสุนัข

“อยากอยู่กับเราไหม” คุณปู่ถามมันอีกครั้ง เจ้าสุนัขจึงตอบรับ แล้วคุณปู่พาสุนัขจรจัดตัวนั้นกลับบ้านอีกตัวหนึ่ง

ตอนนี้สมาชิกในบ้านจึงมีทั้งคุณปู่ คณย่า เจ้าแมว และเจ้าสุนัขใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน

วันรุ่งขึ้น คุณปู่ก็ไปตกปลาพร้อมกับเจ้าแมวและเจ้าสุนัข วันนี้คุณปู่จับปลาคาร์ฟตัวใหญ่ได้โดยไม่คาดคิดก็ดีใจมาก แต่ไม่ทันไร คุณปู่ก็เห็นน้ำตาของปลาคาร์ฟไหลออกมาเป็นทาง

“คุณปู่” ได้โปรดเมตตาข้าเถิด เจ้าปลาคาร์ฟคร่ำครวญ ด้วยความสงสาร คุณปู่จึงปล่อยปลาคาร์พตัวใหญ่ตัวนั้นไป เพื่อตอบแทนบุญคุณ เจ้าปลาคาร์ฟจึงมอบหินวิเศษ ที่สามารถบันดาลคำอธิษฐานให้เป็นจริงแก่คุณปู่

เมื่อคุณปู่กลับมาถึงบ้าน เขาก็หยิบหินวิเศษนี้ขึ้นมาดู และขอพรตามที่ปลาคาร์ฟบอก “ขอให้ฉันรวย!”

ทันทีที่พูดจบ บ้านทั้งหลังก็เต็มไปด้วยอาหารและทรัพย์สมบัติ คุณปู่จึงร่ำรวยและใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล

อยู่มาวันหนึ่ง คุณยายจอมละโมบจากหมู่บ้านอีกฟากของแม่น้ำซึ่งเป็นเพื่อนกับคุณย่าได้เดินทางมาหาคุณย่าที่บ้าน “ฉันได้ยินมาว่าเธอมีหินวิเศษ ที่สามารถขอคำอธิษฐานได้ดังใจเหรอ ขอฉันดูหน่อยได้ไหม” คุณย่าจึงหยิบมาหินขึ้นมาให้คุณย่าจอมละโมบดู

คุณยายจอมละโมบได้แกล้งทำเป็นมองอยู่เฉยๆไม่สนใจ และชวนพูดคุย จนเมื่อคุณย่าเผลอ ก็ได้แอบขโมยหินวิเศษมาซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อขอตน และกล่าวอำลา พร้อมกับออกจากบ้านไป

ทางบ้านคุณปู่เมื่อไม่มีหินวิเศษและก็กลับกลายเป็นบ้านยากจนอีกครั้ง ดังนั้น เจ้าสุนัขและเจ้าแมวจึงตัดสินใจออกตามหาหินวิเศษกลับมา สุนัขและแมวข้ามแม่น้ำไปยังบ้านของคุณยายจอมละโมบ ที่หมู่บ้านฝั่งตรงกันข้ามของแม่น้ำ

เจ้าสุนัขมองไปรอบๆ และได้เจอบ้านของคุณยายจอมละโมบ เจ้าแมวและเจ้าสุนัขจึงวางแผนเพื่อนำหินวิเศษกลับมา โดยเจ้าแมวได้เดินตามเสียงของหนูและไปที่รังของพวกมันเพื่อจับราชาหนู เมื่อจับราชาหนูได้แล้ว เจ้าแมวได้บอกราชาหนูว่าจะปล่อยทันที หาราชาหนูไปเอาหินวิเศษจากบ้านของคุณยายจอมละโมบมาให้ ราชาหนูจึงสั่งลูกน้องให้ไปค้นหาว่าหินวิเศษอยู่ที่ไหน

“ลูกปัดอยู่ที่นั่น!” ในที่สุดลูกสมุนหนูก็หาหินวิเศษเจอ ซึ่งอยู่ในมือของคุณยายจอมละโมบที่กำลังหลับอยู่ และเหล่าลูกสมุนหนูก็ค่อย ๆ ช่วยกับเอาหินออกจากมือของคุณยายจอมละโมบจนสำเร็จ และนำกลับมาให้ราชาหนู

ราชาเมื่อได้หินวิเศษแล้วก็มอบให้กับเจ้าแมว เจ้าแมวจึงปล่อยราชาหนูให้เป็นอิสระตามสัญญา

เจ้าสุนัขและเจ้าแมวเมื่อได้หินวิเศษกลับคืนมาก็ได้ข้ามแม่น้ำกลับไปที่บ้านของคุณปู่ โดยเจ้าแมวได้คาบหินวิเศษไว้ในปากแล้วขี่บนหลังสุนัข จึงไม่สามารถตอบได้

ด้วยความกังวลเจ้าสุนัขก็ได้ถามเจ้าแมวว่า “หินวิเศษยังอยู่หรือเปล่า” อีกหลายครั้ง แต่แมวมีหินวิเศษอยู่ในปากและไม่สามารถพูดอะไรได้ แต่เมื่อโดนถามอยู่บ่อยครั้ง เจ้าแมวจึงทนไม่ไหว และได้ตอบเจ้าสุนัขไปในทันที ทำให้หินวิเศษล่นลงไปในแม่น้ำ  และเห็นว่ามีปลาตัวใหญ่ที่มีลักษณะพิเศษคาบไป

เมื่อเป็นดังนั้น เจ้าแมวและเจ้าสุนัขจึงออกตามหาหินวิเศษอีกครั้ง พวกมันเดินไปตามริมฝั่งแม่น้ำเพื่อค้นหาหินวิเศษ และเหมือนโชคจะเข้าข้าง พวกมันได้พบปลาตัวใหญ่ที่มีลักษณะพิเศษนอนอยู่ข้างริมแม่น้ำ เพราะถูกคนตกปลาจับไว้ได้ พวกมันจึงขโมยปลาตัวใหญ่ตัวนั้นออกมาและรีบวิ่งหนีไป ซึ่งพวกมันก็ได้คว้านท้องของปลาตัวนั้นออกก็เป็นดังที่พวกมันมันคิดไว้

 “โอ้ มีหินวิเศษอยู่ในท้องของปลาตัวนี้จริงๆด้วย!” พวกมันจึงรีบนำหินวิเศษนี้กลับไปคืนให้กับคุณปู่ หลังจากได้หินวิเศษกลับมา ปู่ก็กลับมาร่ำรวยอีกครั้ง  และคุณปู่ก็ตอบแทนเจ้าหมาและเจ้าแมวด้วยอาหารและที่พักดี ๆ

The post เรื่องย่อ หมากับแมว appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
https://nekohimahime.online/2022/06/30/%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a2%e0%b9%88%e0%b8%ad-%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%81%e0%b8%a1%e0%b8%a7/feed/ 0
ราชาหูลา https://nekohimahime.online/2022/06/30/%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%b9%e0%b8%a5%e0%b8%b2/ https://nekohimahime.online/2022/06/30/%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%b9%e0%b8%a5%e0%b8%b2/#respond Thu, 30 Jun 2022 14:54:49 +0000 https://nekohimahime.online/?p=1354 ราชา หูลา เลื่อน >> กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีกษัตริย์องค์หนึ่งซึ่งมีอาการคันหูมาก ทุกครั้งที่เขาเกาหู เมื่อตื่นนอนขึ้นมาหูของเขาก็งอกขึ้นอย่างรวดเร็ว สร้างความหนักใจให้กับพระราชาเป็นอย่างมาก วันหนึ่ง เมื่อพระราชาได้ส่องกระจก ก็ได้อุทานออกมาว่า “อุ๊ย! หูของฉันเป็นหูลา” พระราชาไม่รู้จะทำอย่างไร จึงทรงให้คนรับใช้นำผ้าผืนใหญ่มาพันปิดหูลาของพระองค์ไว้ และทรงกำชับว่าห้ามไม่ให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด “เฮ้ ให้คนที่ทำหมวกเก่งมาหาฉันเดี๋ยวนี้” พระราชาสั่งคนรับใช้ จากนั้นคนรับใช้คนสนิทจึงได้ไปเชิญช่างทำหมวกที่เก่งที่สุดในเมืองมาพบพระราชา เมื่อมาถึงพระราชาจึงทรงแอบเอาหูลาให้ช่างทำหมวกดู และทรงบอกให้ช่างทำหมวกทำหมวกทีมีที่ซ่อนหูให้กับพระองค์ และทรงกำชับว่าห้ามไม่ให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด “ถ้าเจ้าเอาเรื่องหูของฉันกับคนอื่น คอของเจ้าจะหายไป!” พระราชาทรงขู่ช่างทำหมวก ด้วยความกลัวช่างทำหมวกสัญญาว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องหนูลาของพระราชาออกไป และเริ่มตั้งต้นทำหมวกเพื่อซ่อนหูลา โดยช่างทำหมวกได้กรีดหนังที่เหนียวแล้วตัดเป็นสี่เหลี่ยมเพื่อทำหมวกที่พอดีกับหูของลาของพระราชา แต่หูของพระราชาก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน ๆ เมื่อพระองค์ตื่นขึ้นมา หูลาของพระองค์จะยาวจนเลยหมวกเสมอ ๆ ช่างทำหมวกจึงต้องทำหมวกใบใหม่ทุกวัน ช่างทำหมวกรู้สึกอึดอักเป็นอย่างมาก เขาเหนื่อยที่จ้องทำหมวกทุกวัน จึงเขารำพึงรำพันกับตัวเอง ” ฉันไม่สามารถคุยกับคนอื่นได้และรู้สึกเหมือนกำลังจะตายจากความคับข้องใจ” วันหนึ่ง ด้วยความอึดอัดนี้ ช่างทำหมวกจึงแอบเข้าไปในป่าไผ่ที่ไม่มีใครอยู่ และได้ตะโกนเพื่อระบายความคับแค้นที่อยู่ในใจออกมา ” หูของราชาก็คือหูลา! หูของราชาก็คือหูลา!” ซึ่งหลังจากกรีดร้องออกมาดังๆ ช่างทำหมวกก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก และสบายใจขึ้น แต่ช่างทำหมวกหารู้ไม่ว่า ที่ป่าไผ่นั้นจะมีลมพัดผ่านอยู่เสมอ เสียง “หูของพระราชาคือหูลา!”…

The post ราชาหูลา appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
ราชา หูลา

เลื่อน >>

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีกษัตริย์องค์หนึ่งซึ่งมีอาการคันหูมาก ทุกครั้งที่เขาเกาหู เมื่อตื่นนอนขึ้นมาหูของเขาก็งอกขึ้นอย่างรวดเร็ว สร้างความหนักใจให้กับพระราชาเป็นอย่างมาก

วันหนึ่ง เมื่อพระราชาได้ส่องกระจก ก็ได้อุทานออกมาว่า “อุ๊ย! หูของฉันเป็นหูลา”

พระราชาไม่รู้จะทำอย่างไร จึงทรงให้คนรับใช้นำผ้าผืนใหญ่มาพันปิดหูลาของพระองค์ไว้ และทรงกำชับว่าห้ามไม่ให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด

“เฮ้ ให้คนที่ทำหมวกเก่งมาหาฉันเดี๋ยวนี้” พระราชาสั่งคนรับใช้

จากนั้นคนรับใช้คนสนิทจึงได้ไปเชิญช่างทำหมวกที่เก่งที่สุดในเมืองมาพบพระราชา เมื่อมาถึงพระราชาจึงทรงแอบเอาหูลาให้ช่างทำหมวกดู และทรงบอกให้ช่างทำหมวกทำหมวกทีมีที่ซ่อนหูให้กับพระองค์ และทรงกำชับว่าห้ามไม่ให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด

“ถ้าเจ้าเอาเรื่องหูของฉันกับคนอื่น คอของเจ้าจะหายไป!” พระราชาทรงขู่ช่างทำหมวก ด้วยความกลัวช่างทำหมวกสัญญาว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องหนูลาของพระราชาออกไป และเริ่มตั้งต้นทำหมวกเพื่อซ่อนหูลา โดยช่างทำหมวกได้กรีดหนังที่เหนียวแล้วตัดเป็นสี่เหลี่ยมเพื่อทำหมวกที่พอดีกับหูของลาของพระราชา

แต่หูของพระราชาก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน ๆ เมื่อพระองค์ตื่นขึ้นมา หูลาของพระองค์จะยาวจนเลยหมวกเสมอ ๆ ช่างทำหมวกจึงต้องทำหมวกใบใหม่ทุกวัน

ช่างทำหมวกรู้สึกอึดอักเป็นอย่างมาก เขาเหนื่อยที่จ้องทำหมวกทุกวัน จึงเขารำพึงรำพันกับตัวเอง ” ฉันไม่สามารถคุยกับคนอื่นได้และรู้สึกเหมือนกำลังจะตายจากความคับข้องใจ”

วันหนึ่ง ด้วยความอึดอัดนี้ ช่างทำหมวกจึงแอบเข้าไปในป่าไผ่ที่ไม่มีใครอยู่ และได้ตะโกนเพื่อระบายความคับแค้นที่อยู่ในใจออกมา

” หูของราชาก็คือหูลา! หูของราชาก็คือหูลา!” ซึ่งหลังจากกรีดร้องออกมาดังๆ ช่างทำหมวกก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก และสบายใจขึ้น

แต่ช่างทำหมวกหารู้ไม่ว่า ที่ป่าไผ่นั้นจะมีลมพัดผ่านอยู่เสมอ เสียง “หูของพระราชาคือหูลา!” จึงลอยไปตามลม และทำให้ทุกคนที่เดินผ่านป่าไผ่ได้ยินเสียงของเขาอย่างชัดเจน

ข่าวลือเรื่องหูลาของพระราชาแพร่กระจายออกไปราวกับลมบ้าหมู และคนทั่วประเทศก็รู้เรื่องนี้ ในที่สุดข่าวลือก็ลามไปถึงภายในวัง พระราชาสั่งคนใช้ให้นำช่างทำหมวกมาพระราชวัง

“เจ้ากล้าบอกคนอื่นได้อย่างไร เจ้าอยากตายใช่หรือไม่” พระราชาถามด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจ ข้าเพียงรู้สึกหงุดหงิดมากจนต้องไปตะโกนอยู่คนเดียวในป่าไผ่ และคิดว่าที่ไม่มีใครอยู่ที่นั่น” ช่างทำหมวกบอกพระราชา และเขาก็รวบรวมความกล้าอีกครั้งเพื่อพูดต่อ

“ข้าคิดว่าหูใหญ่ของพระองค์เป็นเจตจำนงของสวรรค์ที่จะรับฟังประชาชน ทำไมท่านจะต้องปิดบังมันจากประชาชนด้วยล่ะพระเจ้าค่ะ ”

พระราชาได้ยินดังนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยอมรับในสิ่งที่ช่างทำหมวกพูด

หลังจากนั้นพระราชาก็เปิดหูลาอย่างภาคภูมิใจและพยายามฟังเสียงของประชาชนมากขึ้น จึงทำให้ประชาชนต่างชื่นชอบราชาหูลามากขึ้น

“พระราชาหูลา จงเจริญ!” “พระราชาหูลา จงเจริญ!”

The post ราชาหูลา appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
https://nekohimahime.online/2022/06/30/%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%b9%e0%b8%a5%e0%b8%b2/feed/ 0
ชิมช็อง : หญิงสาวผู้กตัญญูต่อบิดาตาบอด https://nekohimahime.online/2022/06/30/%e0%b8%8a%e0%b8%b4%e0%b8%a1%e0%b8%8a%e0%b9%87%e0%b8%ad%e0%b8%87-%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%81%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%8d/ https://nekohimahime.online/2022/06/30/%e0%b8%8a%e0%b8%b4%e0%b8%a1%e0%b8%8a%e0%b9%87%e0%b8%ad%e0%b8%87-%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%81%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%8d/#respond Thu, 30 Jun 2022 08:05:29 +0000 https://nekohimahime.online/?p=1334 ชิมช็อง : หญิงสาวผู้กตัญญูต่อบิดาตาบอด ชิมช็อง : หญิงสาวผู้กตัญญูต่อบิดาตาบอด เลื่อน >> … มีเด็กสาวคนหนึ่งอาศัยอยู่กับบิดาตาบอดมาตั้งเเต่ยังเล็ก เพราะเเม่ผู้ให้กำเนิดนั้นตายหลังจากที่เธอเกิดมาได้ไม่ถึงเจ็ดวัน เธอมีนามว่า ชิมช็อง เมื่อครั้งยังเป็นทารกบิดาตาบอดของชิมช็องต้องไปอาศัยขอน้ำนมจากบ้านอื่นเพื่อมาเลี้ยงดูเธอ จนกระทั่งเวลาผ่านไปชิมช็องเติบโตมาเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาและจิตใจที่งดงาม ชิมช็องไม่เคยบกพร่องในหน้าที่การดูแลพ่อเลย เธอช่วยเหลือดูเเลพ่ออย่างดีโดยไม่บ่น แม้ว่างานทั้งหมดจะหนักหนาเกินไปสำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอก็ตาม ชิมช็องมีฝีมือในการเย็บผ้าจึงรับผ้ามาเย็บบ้าง และนอกจากนี้ยังรับงานทั่วไปเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเติมด้วย คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันสงสารชิมช็องและพ่อจนบริจาคข้าวสวยกับกิมจิให้คนละนิดละหน่อยเพื่อประทังชีวิต เเม้จะมีครอบครัวขุนนางมาขอรับชิมช็องไปเลี้ยงเเต่ว่าเธอกลับไม่ยอมไป เพราะคิดถึงผู้เป็นพ่อว่า ถ้าหากเธอไปอยู่ที่อื่นเเล้วใครจะเป็นคนดูแลพ่อที่ตาบอด วันหนึ่งเมื่อชายตาบอดเห็นว่าชิมช็องกลับบ้านผิดเวลาก็ได้แต่นั่งเป็นห่วง จึงตัดสินใจเดินงกๆ เงิ่นๆ ไปตามหาชิมช็องจนกระทั่งตกจากสะพานไปเเละมีพระรูปหนึ่งมาช่วยเอาไว้ เเละได้พูดกับ ชายตาบอดว่า ‘เอาอย่างนี้…ถ้าอยากจะหายจากการตาบอด เจ้าจะต้องนำข้าว 300 กระสอบไปถวายต่อพระพุทธองค์ด้วยใจศรัทธาจะมีโอกาสที่ตากลับมามองเห็นได้ เเต่ลำบากแบบนี้ก็คงเป็นเรื่องยากสินะ’ เมื่อกลับมาถึงบ้าน พ่อได้เล่าเรื่องที่พระรูปนั้นบอกให้กับชิมช็องฟัง เมื่อชิมช็องได้ฟังก็ดีใจมากและพยายามหาวิธีที่จะได้ข้าว 300 กระสอบมาให้พ่อ จนเมื่อเธอได้ยินข่าวลือว่ามีชาวประมงตามซื้อตัวหญิงสาวพรหมจรรย์เพื่อไปบูชาเทพแห่งท้องทะเล ด้วยชาวประมงนั้นมีความเชื่อว่าก่อนออกเดินทางจะต้องนำหญิงสาวบริสุทธิ์ไปบูชาต่อเทพท้องทะเลด้วย เธอจึงตัดสินใจเดินทางไปหากลุ่มชาวประมง โดยเธอต่อรองแลกตัวเองกับข้าว 300 กระสอบ เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ในวันที่พวกชาวประมงมารับตัวชิมช็อง เธอก็ได้จัดเตรียมอาหารไว้ให้พ่อก่อนที่เธอจะตามชาวประมงขึ้นเรือไป เมื่อแล่นเรืออกกมากลางทะเลแล้ว ก็เกิดคลื่นลมโหมกระหน่ำอย่างแรง…

The post ชิมช็อง : หญิงสาวผู้กตัญญูต่อบิดาตาบอด appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>

ชิมช็อง : หญิงสาวผู้กตัญญูต่อบิดาตาบอด

ชิมช็อง : หญิงสาวผู้กตัญญูต่อบิดาตาบอด

เลื่อน >> …

มีเด็กสาวคนหนึ่งอาศัยอยู่กับบิดาตาบอดมาตั้งเเต่ยังเล็ก เพราะเเม่ผู้ให้กำเนิดนั้นตายหลังจากที่เธอเกิดมาได้ไม่ถึงเจ็ดวัน เธอมีนามว่า ชิมช็อง เมื่อครั้งยังเป็นทารกบิดาตาบอดของชิมช็องต้องไปอาศัยขอน้ำนมจากบ้านอื่นเพื่อมาเลี้ยงดูเธอ จนกระทั่งเวลาผ่านไปชิมช็องเติบโตมาเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาและจิตใจที่งดงาม ชิมช็องไม่เคยบกพร่องในหน้าที่การดูแลพ่อเลย เธอช่วยเหลือดูเเลพ่ออย่างดีโดยไม่บ่น แม้ว่างานทั้งหมดจะหนักหนาเกินไปสำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอก็ตาม

ชิมช็องมีฝีมือในการเย็บผ้าจึงรับผ้ามาเย็บบ้าง และนอกจากนี้ยังรับงานทั่วไปเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเติมด้วย คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันสงสารชิมช็องและพ่อจนบริจาคข้าวสวยกับกิมจิให้คนละนิดละหน่อยเพื่อประทังชีวิต เเม้จะมีครอบครัวขุนนางมาขอรับชิมช็องไปเลี้ยงเเต่ว่าเธอกลับไม่ยอมไป เพราะคิดถึงผู้เป็นพ่อว่า ถ้าหากเธอไปอยู่ที่อื่นเเล้วใครจะเป็นคนดูแลพ่อที่ตาบอด

วันหนึ่งเมื่อชายตาบอดเห็นว่าชิมช็องกลับบ้านผิดเวลาก็ได้แต่นั่งเป็นห่วง จึงตัดสินใจเดินงกๆ เงิ่นๆ ไปตามหาชิมช็องจนกระทั่งตกจากสะพานไปเเละมีพระรูปหนึ่งมาช่วยเอาไว้ เเละได้พูดกับ ชายตาบอดว่า ‘เอาอย่างนี้…ถ้าอยากจะหายจากการตาบอด เจ้าจะต้องนำข้าว 300 กระสอบไปถวายต่อพระพุทธองค์ด้วยใจศรัทธาจะมีโอกาสที่ตากลับมามองเห็นได้ เเต่ลำบากแบบนี้ก็คงเป็นเรื่องยากสินะ’ เมื่อกลับมาถึงบ้าน พ่อได้เล่าเรื่องที่พระรูปนั้นบอกให้กับชิมช็องฟัง

เมื่อชิมช็องได้ฟังก็ดีใจมากและพยายามหาวิธีที่จะได้ข้าว 300 กระสอบมาให้พ่อ จนเมื่อเธอได้ยินข่าวลือว่ามีชาวประมงตามซื้อตัวหญิงสาวพรหมจรรย์เพื่อไปบูชาเทพแห่งท้องทะเล ด้วยชาวประมงนั้นมีความเชื่อว่าก่อนออกเดินทางจะต้องนำหญิงสาวบริสุทธิ์ไปบูชาต่อเทพท้องทะเลด้วย เธอจึงตัดสินใจเดินทางไปหากลุ่มชาวประมง โดยเธอต่อรองแลกตัวเองกับข้าว 300 กระสอบ

เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ในวันที่พวกชาวประมงมารับตัวชิมช็อง เธอก็ได้จัดเตรียมอาหารไว้ให้พ่อก่อนที่เธอจะตามชาวประมงขึ้นเรือไป เมื่อแล่นเรืออกกมากลางทะเลแล้ว ก็เกิดคลื่นลมโหมกระหน่ำอย่างแรง ชิมช็องซึ่งเตรียมใจไว้แล้วก็กระโดดลงไปในทะเลทันที

และเมื่อเธอฟื้นมีสติขึ้นมา เธอก็ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่วังใต้ท้องทะเล เเละได้พบกับเเม่ที่ตายไปเเล้ว ซึ่งแม่ของชิมช็องเมื่อตายไปแล้วก็ได้กลับมาเกิดเป็นภรรยาเง็กเซียน ทั้งสองได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไม่นาน เพื่อทดเเทนเวลาที่แม่ตายไปภายหลังคลอดชิมช็อง และหลังจากนั้นแม่ก็ได้ร่ำลาชิมช็องเพื่อกลับไปยังสวรรค์ดังเดิม

เวลาต่อมาเง็กเซียนได้เดินทางมายังวังใต้ท้องทะเลเพื่อมาเจรจากับเจ้าสมุทรเรื่องที่ชิมช็องถึงอายุที่ต้องแต่งงานเเล้ว จะต้องหาคู่ครองให้กับเธอ จนตกลงกันได้ว่าจะส่งชิมช็องกลับขึ้นไปบนโลกมนุษย์เพื่อไปแต่งงาน โดยส่งผ่านดอกบัวดอกใหญ่สีสวยพร้อมคนรับใช้ขึ้นไปด้วย

ต่อมาพระราชามาพบชิมช็องเข้าและเกิดรักกันในที่สุด ชิมช็องจึงได้แต่งงานกับพระราชา ซึ่งก่อนหน้านั้นพระราชาได้สูญเสียมเหสีองค์ก่อนไปจึงเอาเเต่จมอยู่กับความโศกเศร้า เเต่เมื่อเจอชิมช็องเเละได้แต่งงานกันเขาก็ได้รับแต่สิ่งดีๆ บ้านเมืองก็เจริญขึ้นมา พระราชาจึงมีความรู้สึกว่านี่คงเป็นโชคชะตาจากสวรรค์ เพราะตนเลือกแต่งงานกับคนไม่ผิด การเเต่งงานกับหญิงสาวที่ดีจึงทำให้เกิดสิ่งดีๆ ตามมานั่นเอง

วันหนึ่งพระราชาเห็นชิมช็องดูเป็นกังวลจึงเข้าไปถาม หลังจากนั้นชิมช็องก็เล่าเรื่องราวชีวิตของเธอให้พระราชาฟัง ก่อนจะส่งทหารให้ออกไปตามหาบิดาผู้ตาบอดของชิมช็องเเต่ก็ไม่พบ เพราะว่าพ่อของชิมช็องได้แต่งงานใหม่กับแม่หม้ายคนหนึ่ง เเต่หล่อนเป็นคนที่ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย เพียงเวลาไม่นานข้าว 300 กระสอบที่ชิมช็องแลกกับตนเองเพื่อให้พ่อได้เอาไปบูชาก็หมดไป ด้วยความอับอายทั้งสองคนไม่สามารถอยู่ที่หมู่บ้านเดิมอีกแล้วจึงพากันย้ายที่อยู่ไปที่อื่น นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ทหารของพระราชาออกไปตามหาพ่อของชิมช็องที่บ้านเกิดแล้วไม่พบ พระราชาจึงตัดสินใจเปลี่ยนแผน ออกคำสั่งให้รวบรวมชายตาบอดทุกคนในราชอาณาจักร ให้มารวมกันที่พระราชวังเพื่อให้ชิมช็องได้เลือกดูว่าคนไหนคือพ่อตนเอง

ซึ่งจากประกาศนั้นเองแม่หม้ายก็ได้พาพ่อของชิมช็องเดินทางมาเพื่อเข้าไปยังพระราชวัง เเต่ระหว่างทางเธอก็ตัดสินใจหนีตามไปกับคนอื่นซะก่อน ปล่อยให้ชายตาบอดเข้าไปพบชิมช็องเพียงลำพัง แม้ตอนเเรกพ่อลูกจะยังจำกันไม่ได้ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไป พ่อก็สภาพย่ำแย่เพราะขาดการดูเเลตนเองจึงดูคล้ายขอทานทำให้ชิมช็องไม่แน่ใจว่านั่นคือพ่อของตนหรือไม่

ชายตาบอกจึงเริ่มเล่าเรื่องครอบครัวตัวเองให้ฟัง ซึ่งข้อมูลนั่นเองเป็นสิ่งยืนยันความเป็นพ่อลูกระหว่างชิมช็องกับชายตาบอด ทันใดนั้นเองด้วยพลังความรักและพลังความดีของชิมช็องก็ทำให้ดวงตาที่เคยมืดบอกเปิดกว้างขึ้นมา ทั้งสองกอดกันด้วยความรักและความคิดถึง เเละได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

The post ชิมช็อง : หญิงสาวผู้กตัญญูต่อบิดาตาบอด appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
https://nekohimahime.online/2022/06/30/%e0%b8%8a%e0%b8%b4%e0%b8%a1%e0%b8%8a%e0%b9%87%e0%b8%ad%e0%b8%87-%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%81%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%8d/feed/ 0
ซุปหิน https://nekohimahime.online/2021/08/11/%e0%b8%8b%e0%b8%b8%e0%b8%9b%e0%b8%ab%e0%b8%b4%e0%b8%99/ https://nekohimahime.online/2021/08/11/%e0%b8%8b%e0%b8%b8%e0%b8%9b%e0%b8%ab%e0%b8%b4%e0%b8%99/#respond Wed, 11 Aug 2021 13:01:58 +0000 https://nekohimahime.online/?p=1202 เลื่อน >> นักเดินทางคนหนึ่งได้ออกเดินทางตัวคนเดียวมาหลายวัน โดยไม่ได้พกอะไรติดตัวมาด้วยนอกจากหม้อเปล่าๆ ใบเดียว เขาเดินทางจนมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ด้วยความหิวเขาจึงขอส่วน แบ่งอาหารจากชาวบ้าน แต่ไม่มีใครต้องการแบ่งปันร้านอาหารให้กับนักเดินทางผู้หิวโหยคนนี้เลย เขาจึงเดินทางออกจากหมู่บ้านและเริ่มคิดหาวิธีแก้ปัญหา เพราะถ้าเขาไม่ได้กินอะไรคงเดินทางไปต่อไม่ได้แน่ จากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มมีความดีๆ เขาจึงเดินทางก็ไปที่ลําธารใกล้ๆ กับหมู่บ้านและเติมน้ำลงในหม้อ ใส่หินก้อนใหญ่ลงไป แล้วเขาก็เริ่มตั้งหม้อที่มีเพียงแค่หินลงบนกองไฟ เขาพัดควันให้โชยกลิ่น เข้าไปยังหมู่บ้าน ชาวบ้านคนหนึ่งเริ่มอยากรู้อยากเห็น จึงถามนักเดินทางว่าเขากําลังทําอะไร ทําไมกลิ่นควันถึงโชยขนาดนี้ นักเดินทางตอบว่า “ชั้นกําลังทําซุปหิน ซึ่งมีรสชาติที่ยอดเยี่ยมมากๆ แต่ว่ามันขาดวัตถุดิบอยู่นิดหน่อย “ ถ้าเขายินดีที่จะแบ่งปันวัตุดิบนิดหน่อยให้กับฉัน ฉันก็ยินดีที่จะแบ่งปันซุปหินแสนอร่อยนี้ให้กับเขาและชาวบ้าน ชาวบ้านที่คาดหวังว่าจะได้รับส่วนแบ่งจากน้ำซุปหินแสนอร่อย จึงไม่มีปัญหากับการแบ่งวัตถุดิบสักสองสามชิ้น เขาจึงเริ่มช่วยใส่ลงไปในหม้อน้ำซุป ไม่นานนักก็มีชาวบ้านอีกคนเดินผ่านมาสอบถามเกี่ยวกับซุปหินที่นัก เดินทางทํา และนักเดินทางก็เริ่มพูดถึงซุปหินอีกครั้ง แน่นอนว่าซุปยังไม่ อร่อยเต็มที่เพราะยังขาดวัตถุดิบอีกนิดหน่อย ชาวบ้านคนนั้นจึงไม่ลังเลที่จะมอบเครื่องปรุงรสและวัตถุดิบให้ เพื่อที่เขาจะได้ส่วนแบ่งจากการกินซุปหินแสนอร่อยหม้อนี้เช่นกัน ไม่นานก็มีชาวบ้านมาถามไถ่มากขึ้นเรื่อยๆ และแต่ละคนก็เพิ่มส่วนผสมอื่นๆลงไป ในที่สุดหินก้อนนั้น (ที่กินไม่ได้) ก็ถูกตักออกจากหม้อ และซุปในหม้อก็ได้ให้ความอร่อยและมอบความสุขให้ทั้งนักเดินทางและชาวบ้านทั่วกัน จากซุปหินธรรมดาที่ไม่มีรสชาติอะไร แต่นักเดินทางก็ได้เปลี่ยนให้เป็นอาหารที่อร่อยและแบ่งปันให้กับผู้ที่ช่วยเหลือเขา ได้สําเร็จ

The post ซุปหิน appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
เลื่อน >>

นักเดินทางคนหนึ่งได้ออกเดินทางตัวคนเดียวมาหลายวัน โดยไม่ได้พกอะไรติดตัวมาด้วยนอกจากหม้อเปล่าๆ ใบเดียว

เขาเดินทางจนมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ด้วยความหิวเขาจึงขอส่วน แบ่งอาหารจากชาวบ้าน แต่ไม่มีใครต้องการแบ่งปันร้านอาหารให้กับนักเดินทางผู้หิวโหยคนนี้เลย เขาจึงเดินทางออกจากหมู่บ้านและเริ่มคิดหาวิธีแก้ปัญหา เพราะถ้าเขาไม่ได้กินอะไรคงเดินทางไปต่อไม่ได้แน่

จากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มมีความดีๆ เขาจึงเดินทางก็ไปที่ลําธารใกล้ๆ กับหมู่บ้านและเติมน้ำลงในหม้อ ใส่หินก้อนใหญ่ลงไป แล้วเขาก็เริ่มตั้งหม้อที่มีเพียงแค่หินลงบนกองไฟ เขาพัดควันให้โชยกลิ่น เข้าไปยังหมู่บ้าน

ชาวบ้านคนหนึ่งเริ่มอยากรู้อยากเห็น จึงถามนักเดินทางว่าเขากําลังทําอะไร ทําไมกลิ่นควันถึงโชยขนาดนี้

นักเดินทางตอบว่า “ชั้นกําลังทําซุปหิน ซึ่งมีรสชาติที่ยอดเยี่ยมมากๆ แต่ว่ามันขาดวัตถุดิบอยู่นิดหน่อย “

ถ้าเขายินดีที่จะแบ่งปันวัตุดิบนิดหน่อยให้กับฉัน ฉันก็ยินดีที่จะแบ่งปันซุปหินแสนอร่อยนี้ให้กับเขาและชาวบ้าน

ชาวบ้านที่คาดหวังว่าจะได้รับส่วนแบ่งจากน้ำซุปหินแสนอร่อย จึงไม่มีปัญหากับการแบ่งวัตถุดิบสักสองสามชิ้น เขาจึงเริ่มช่วยใส่ลงไปในหม้อน้ำซุป

ไม่นานนักก็มีชาวบ้านอีกคนเดินผ่านมาสอบถามเกี่ยวกับซุปหินที่นัก เดินทางทํา และนักเดินทางก็เริ่มพูดถึงซุปหินอีกครั้ง แน่นอนว่าซุปยังไม่ อร่อยเต็มที่เพราะยังขาดวัตถุดิบอีกนิดหน่อย

ชาวบ้านคนนั้นจึงไม่ลังเลที่จะมอบเครื่องปรุงรสและวัตถุดิบให้ เพื่อที่เขาจะได้ส่วนแบ่งจากการกินซุปหินแสนอร่อยหม้อนี้เช่นกัน ไม่นานก็มีชาวบ้านมาถามไถ่มากขึ้นเรื่อยๆ และแต่ละคนก็เพิ่มส่วนผสมอื่นๆลงไป ในที่สุดหินก้อนนั้น (ที่กินไม่ได้) ก็ถูกตักออกจากหม้อ

และซุปในหม้อก็ได้ให้ความอร่อยและมอบความสุขให้ทั้งนักเดินทางและชาวบ้านทั่วกัน จากซุปหินธรรมดาที่ไม่มีรสชาติอะไร แต่นักเดินทางก็ได้เปลี่ยนให้เป็นอาหารที่อร่อยและแบ่งปันให้กับผู้ที่ช่วยเหลือเขา ได้สําเร็จ

The post ซุปหิน appeared first on Tale of Neko Hima Hime.

]]>
https://nekohimahime.online/2021/08/11/%e0%b8%8b%e0%b8%b8%e0%b8%9b%e0%b8%ab%e0%b8%b4%e0%b8%99/feed/ 0