นักปราชญ์หนุ่ม กับ ข้าวฟ่างเมล็ดเดียว
เลื่อน >>
กาลครั้งหนึ่งมีนักปราชญ์หนุ่มที่ยากจนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขาพากเพียรพยายามสอบเพื่อเข้ารับราชการด้วยการอ่าน และเขียน ทั้งกลางวันและกลางคืน
เมื่อการสอบใกล้เข้ามา เหล่าปราชญ์ประจำหมู่บ้านต่างก็เตรียมที่จะเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อไปสอบ เหล่านักปราชญ์ทั้งหลายต่างเตรียมสัมภาระมากมายและขี่ม้าเพื่อออกเดินทาง ต่างจากนักปราชญ์หนุ่มยากจนที่มีเพียงเมล็ดข้าวฟ่างเมล็ดเดียวติดตัวเท่านั้น
เมื่อเดินทางจนฟ้ามืดแล้ว นักปราชญ์หนุ่มได้เดินทางมาเจอกับโรงเตี๊ยม และได้ฝากข้าวฟ่างไว้กับเจ้าของโรงเตี๊ยม
“ข้าวฟ่างนี้มีค่ามากสำหรับฉัน ดังนั้นโปรดเก็บมันไว้และส่งคืนให้กับฉันในพรุ่งนี้เช้าด้วย” เขาบอกกับเจ้าของโรงเตี๊ยม แต่เจ้าของโรงเตี๊ยมมองว่าก็แค่ข้าวฟ่างธรรมดา ๆ เท่านั้นจึงเป่ามันออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร
พอถึงรุ่งเช้า นักปราชญ์หนุ่มพยายามเอาข้าวฟ่างคืนทันทีที่เขาลืมตา
“ข้าวฟ่างถูกหนูบ้านของเรากินไปหมดแล้ว” เจ้าของโรงเตี๊ยมบอก
“อะไรนะ นั่นเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของฉันเชียวนะ ท่านนำหนูที่กลืนข้าวฟ่างมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!” นักปราชญ์หนุ่มโวย เจ้าของโรงเตี๊ยมจึงนำหนูบ้านตัวหนึ่งมามอบให้กับนักปราชญ์ เมื่อนักปราชญ์ได้รับหนูแล้วก็เดินทางต่อไป
ครั้นเมื่อเดินทางจนฟ้ามืด นักปราชญ์ก็ได้เดินทางมาถึงโรงเตี้ยมอีกแห่งหนึ่ง เขาก็ได้ฝากของมีค่าไว้กับเจ้าของโรงเตี้ยมอีก
“หนูตัวนี้ค่ามากสำหรับฉัน ดังนั้นโปรดดูแลมันอย่างดีและส่งคืนพรุ่งนี้เช้าด้วย” เขาแจ้งเจ้าของโรงเตี๊ยม แต่เจ้าของโรงเตี๊ยมและภรรยาของเขา ได้โยนหนูสกปรกออกไปโดยไม่คิดเลย
วันรุ่งขึ้น เมื่อนักปราชญ์ถามถึงหนู เจ้าของโรงเตี๊ยมจึงบอกว่าแมวกินหนูไปแล้ว
“อะไรนะ นั่นเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของฉันเชียวนะ ให้ท่านนำแมวที่กินหนูของฉันมาเดี๋ยวนี้!” นักปราชญ์บอก เจ้าของโรงเตี้ยมจึงไปจับแมวขี้เซาตัวหนึ่งมาให้นักปราชญ์หนุ่ม เมื่อนักปราชญ์หนุ่มได้รับแมวแล้วก็ออกเดินทางต่อไป
และอีกครั้งที่นักปราชญ์หนุ่มเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล
“แมวตัวนี้ค่ามากสำหรับฉัน ดังนั้นโปรดดูแลมันอย่างดีและส่งคืนพรุ่งนี้เช้าด้วย” แต่เจ้าของโรงเตี๊ยมกลับโยนมันเข้าไปในคอกวัวโดยไม่คิดอะไร
วันรุ่งขึ้น เจ้าของโรงเตี๊ยมบอกว่า แมวถูกวัวเหยียบตายเสียแล้ว
“อะไรนะ นั่นเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของฉัน มอบวัวที่เหยียบแมวของฉันมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!” เจ้าของโรงเตี๊ยมจึงจูงวัวมาให้นักปราชญ์ เมื่อนักปราชญ์หนุ่มได้รับวัวแล้วก็ออกเดินทางไปพร้อมกับวัวตัวนั้น
หลังจูงวัวไประยะหนึ่ง พระอาทิตย์ก็ตกดิน ฟ้าเริ่มมืด นักปราชญ์หนุ่มก็ได้เข้าพักในโรงเตี๊ยมอีกเช่นเคย
“วัวตัวนี้ค่ามากสำหรับฉัน ดังนั้นโปรดดูแลมันอย่างดีและส่งคืนพรุ่งนี้เช้าด้วย” เจ้าของโรงเตี๊ยมจึงผูกวัวไว้กับโรงนาโดยไม่ได้คิดอะไร
วันรุ่งขึ้น เมื่อนักปราชญ์หนุ่มถามถึงวัวเพื่อนำมันออกเดินทางไปพร้อมกัน ปรากฎว่า ภรรยาของเจ้าของโรงเตี๊ยมคิดว่ามันเป็นวัวของพวกเขา จึงได้ขายให้กับท่านเศรษฐีคิมตั้งแต่เมื่อวาน
“อะไรนะ มันเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของฉัน ดังนั้นโปรดบอกที่อยู่ของบ้านท่านเศรษฐีคิม ผู้ที่ซื้อวัวของฉันมาเดี๋ยวนี้!”
และเมื่อนักปราชญ์หนุ่ม ตามไปถึงบ้านของท่านเศรษฐีคิม หลังจากได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว ท่านเศรษฐีคิมจึงบอกว่าได้นำวัวของนักปราชญ์หนุ่มไปทำอาหารจนสุกแล้ว และบางส่วนเข้าไปในท้องของลูกสาวเรียบร้อยแล้ว
“อะไรนะ นั่นเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของฉัน ท่านต้องมอบลูกสาวที่กินวัวของฉันมาให้ฉันเดี๋ยวนี้”
หลังจากที่นักปราชญ์หนุ่มพูดออกไปเช่นนั้น ท่านเศรษฐีคิมกลับชอบใจในความกล้าหาญของนักปราชญ์หนุ่มผู้นี้
“ได้ซิ แต่เจ้าจะต้องสอบเข้ารับราชการให้ได้เสียก่อน” หลังจากวันนั้น นักปราชญ์หนุ่มก็จดจ่ออยู่กับการเรียนทั้งกลางวันและกลางคืนในคฤหาสน์ของท่านเศรษฐีคิม
และหลังจากการสอบเสร็จสิ้นแล้วนั้น นักปราชญ์หนุ่มก็ได้รับตำแหน่งทางราชการ ท่านเศรษฐีคิมจึงต้องทำตามคำสัญญาของเขา ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา นักปราชญ์หนุ่มเข้ากันได้ดีกับลูกสาวของท่านเศรษฐีคิม ทั้งสองได้ตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น ทำให้ทุกคนแสดงความยินดีกับการแต่งงานของพวกเขา นักปราชญ์หนุ่มยากจน ผู้น่าสงสารซึ่งมีข้าวฟ่างเพียงเมล็ดเดียว ได้สร้างครอบครัวที่อบอุ่น และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป