ข้าแต่พญาผี สุนับดำสองตัวซึ่งอยู่ต่อหน้าท่าน บัดนี้เป็นน้องร่วมท้องบิดาเดียวกันกับข้าพเจ้า เมื่อบิดาของเราถึงแก่ความตายมีมรดกเหลืออยู่สักสามพันสิกวิน แบ่งกันคนละพันสิกวิน ภายหลังได้เอาทรัพย์นั้นรวมกันเข้าเป็นก้อนเดียวลงทุนทําการค้าขาย เมื่อเริ่มลงมือทํานับว่าพอจะหาความเจริญได้ในภายหน้า แต่ยังไม่มีท่าทางว่าจะร่ำรวยได้โดยเร็วพลันทันใจนัก
อยู่ต่อมาไม่ช้าน้องชายคนรองข้าพเจ้าลงมา เกิดมีความโลภขึ้นคิดจะค้าขายหากําไรให้ร่ำรวยโดยรวดเร็ว ซึ่งจะทําการค้าขายได้กําไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างที่เราแรกลงมือทํานั้นเขาไม่เห็นด้วย เขาบอกความประสงค์ว่าจะไปค้าขายตามหัวเมืองไกล ข้าพเจ้ายอมแบ่งทรัพย์ส่วนของเขาให้ไป เขาจัดซื้อสินค้าที่เหมาะกับพื้นเมืองที่จะไปค้าเสร็จแล้วก็ออกเดินทางนำสินค้าไปตามลำพัง ส่วนข้าพเจ้ากับน้องชายอีกคนหนึ่ง ยังคงออกร้านค้าขายอยู่ตามเดิม ได้กําไรทีละเล็กน้อยแล้วก็ซื้อสินค้าเข้าเพิ่มเติมอีก ทําอยู่ ดังนั้นจนได้กําไรเพิ่มทุนเดิมเข้าอีกสักสองพันสิกวินเศษ
อยู่ต่อมาอีกสักปีหนึ่ง น้องชายของข้าพเจ้ากลับจากค้าขายเมืองไกล แต่กลายเป็นยาจกเข็ญใจ มีเครื่องแต่งตัวขาดวิ่น ข้าพเจ้าดูแต่ไกลจําไม่ได้ คงเข้าใจเพียงว่าคนขอทานคนหนึ่ง พอเดินเข้ามาใกล้เขานั่งลงที่หน้าร้าน ข้าพเจ้าสงสัยว่าคนขอทาน จึงพูดโดยความสงสารครั้นแล้วเขากล่าวว่า ขอเดชะพระอะหล่า จงช่วยท่านด้วยเถิด ท่านจําข้าพเจ้าไม่ได้หรือ ครั้นได้ยินและเพางดูหน้า จำได้ว่าน้องชายก็ตรงเข้ากอดแล้วกล่าวว่าน้องรักดอกหรือ ทำไมจึงมีอาการผิดแลกไปถึงเพียงนี้ แต่แรกที่พี่จำเจ้าไม่ได้
ครั้นแล้วข้าพเจ้าก็รับเขาเข้าไปในร้านไต่ถามถึงเหตุการณ์และผลแห่งการค้าขายว่าเป็นอย่างไร จึงทําให้กลายเป็นยาจกเข็ญใจถึงเพียงนั้น เขาตอบว่า ซึ่งจะให้เล่าความหลังให้ฟังนั้น เหลือที่จะกลั้นความทุกข์โศกได้ ข้าพเจ้าสงสารจึงจัดแบ่งทรัพย์ให้เขาอีกพันสิกวิน แล้วพูดเอาใจด้วยความปรานีว่า น้องรัก เจ้าจงรับเอาเงินพันสิกวินนี้แล้วจงลืมความเสียหายของเจ้าเสียเถิด เขารับเอาเงินนั้นทําทุนค้าขายอยู่กับบ้านเมืองอย่างเดิม
อยู่มาไม่นาน น้องชายคนสุดท้องเกิดอยากจะแสวงหากําไรในการไปค้าขายเมืองไกลอีก ข้าพเจ้ากับพี่คนที่สองห้ามปรามก็หาฟังไม่ จําเป็นต้องขายสินค้าที่เป็นส่วนของเขาเสียสิ้น เอาเงินซื้อสินค้าต่าง ๆ ซึ่งจะเอาไปค้าหัวเมืองที่เขาจะไป ครั้นจัดสินค้าเสร็จก็ออกเดินทางไปกับพวกคาราวานพอล่วงเวาลามาสัก ๑ ปี เขาก็ยากจนกลับมาเช่นเดียวกับพี่ชายของเขา
ข้าพเจ้าสงสาร จึงจัดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้ แล้วแบ่งเงินให้เป็นทุนอีกพันหนึ่งเหมือนกับน้องคนแรก พอได้เงินไปเขาก็เปิดร้านค้าหากําไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามอย่างข้าพเจ้า ต่อมาเลิกคิดขวนขวาย หากําไรโดยความโลภอยู่นาน
อยู่มาหลายปี น้องชายทั้งสองชวนข้าพเจ้าไปค้าขายต่างเมืองกับเขน ขั้นต้นข้าพเจ้าปฏิเสธไม่เห็นด้วย ทั้งสองก็พยายามชักชวนให้ลองไปดูสักครั้ง ชวนอยู่เป็นเวลาหลายเดือนในที่สุดข้าพเจ้ายอมตามความเห็นของเขา ในระหว่างเวลาที่เตรียมการและจัดหาสินค้าไปขายนั้น ได้ความว่าน้องชายทั้งสองได้ค้าขายขาดทุนแทบหมดตัว ข้าพเจ้าก็ไม่ดุด่าว่ากล่าวเขาแต่ประการใด กลับจัดรวบรวมทุนกําไรของข้าพเจ้าทั้งสิ้นได้หกพันสิกวิน แบ่งให้น้องทั้งสองคนละหนึ่งพัน ส่วนของข้าพเจ้าพันหนึ่ง เหลืออีกสามพันสิกวินเก็บฝังไว้ที่ลับ เผื่อไปค้าขายทางหัวเมืองไกลขาดทุน จะได้เอาทุนที่ตั้งไว้ทําการค้าขายหากําไรเลี้ยงตัวไปเหมือนแต่ก่อน
ครั้นเราทั้งสามพี่น้องจัดซื้อสินค้าได้ครบแล้ว ก็เอาลงบรรทุกเรือ พอมีลมมากใช้ใบไปโดยสวัสดิภาพ แล่นเรือไปประมาณเดือนหนึ่งมาถึงท่าเมืองแรก ขายสินค้าได้กําไรงามดี ครั้งแล้ว ก็จัดหาสินค้าพื้นเมืองนั้นบรรทุกเรือจะเอากลับมาค้าเมืองเรา ขณะที่เตรียมสินค้าจากท่าเรือนั้น ข้าพเจ้าบังเอิญเดินไปพบหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ริมชายฝั่งทะเล ในที่ใกล้กับที่เราจอดเรือ นางมีรูปร่างงดงามแต่มีเครื่องแต่งกายเก่า สกปรกขาดวิ่น พอนางเหลือบเห็นข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นเดินตรงเข้ามา จับมือขึ้นจูบพลาง ทักทายปราศรัยเหมือนอย่างรู้จักกันมาแต่ก่อน วิงวอนขอให้ข้าพเจ้าแต่งงานกับนาง ข้าพเจ้าตกลงว่าจะรับเลี้ยง นางเป็นภรรยา จึงจัดหาซื้อเสื้อใหม่ ๆ ที่งดงามให้ แล้วก็ทําการวิวาห์กันตามประเพณี นางก็ลงเรือใช้ใบออกทะเลใหญ่มากับเราสามพี่น้อง
ระหว่างที่เรือแล่นเดินทางมาในทะเลใหญ่ ข้าพเจ้าได้เห็นคุณงามความดีของภรรยาหลายประการ ทําให้รู้สึกรักใคร่นางมากขึ้นทุกวัน ฝ่ายน้องของข้าพเจ้าทั้งสองนั้น ถึงแม้ ค้าขายได้กําไรร่ำรวยเช่นเดียวกับข้าพเจ้า แต่ก็หาหมดความโลภไม่ มีความริษยาข้าพเจ้าในข้อที่ได้โชคลาภดีกว่าเขามากขึ้นเป็นลําดับตั้งแต่ออกเรือมา ในที่สุด คิดจะเอาชีวิตข้าพเจ้าเสีย เพื่อจะเอาทรัพย์สมบัติแบ่งกันสองคน
คืนหนึ่งข้าพเจ้ากำลังนอนหลับอยู่กับภรรยา พี่น้องทั้งสองช่วยกันจับข้าพเจ้ากับนางโยนทิ้งลงในทะเล แต่เราทั้งสองไม่เป็นอันตราย ด้วยว่าภรรยาของข้าพเจ้าเป็นนางพราย มีอํานาจเหนือกว่ามนุษย์สามัญ เมื่อน้องชายจับเราทั้งสองโยนลงมาจากเรือนั้น ภรรยาของข้าพเจ้าฉวยรับข้าพเจ้าไว้ได้มิทันให้แตะต้องน้ำทะเลเลย แล้วอุ้มพาข้าพเจ้าตรงไปเกาะแห่งหนึ่ง นางวางลงแล้วเราพากันนอนหลับไป
พอเวลารุ่งสาง นางปราศรัย ว่า ท่านคงจะเห็นแล้วว่าข้าพเจ้าได้ช่วยชีวิตท่านไว้ในคราวนี้ทั้งนี้เป็นการทดแทนบุญคุณที่ท่านรับข้าพเจ้าไว้เป็นภริยา ข้าพเจ้าเป็นนางพรายหาใช่มนุษย์ไม่ เมื่อท่านแรกพบนั้นเป็นเวลาที่ข้าพเจ้าขึ้นไปเที่ยวเล่นบนบก แต่พอข้าพเจ้าเห็นก็รักใคร่ท่านมาก และท่านก็ได้รับรักสมความปราถนาจึงรู้สึกบุญคุณท่านเป็นอันมาก คอยหาโอกาสจะตอบแทนคุณท่านอยู่ พูดพลางหยอกเอินกันนอนหลบไป ตื้นขึ้นนางก็อุ้มข้าพเจ้าเหาะจากเกาะนั้นมาขึ้นเรือน พอนางวางข้าพเจ้าลงแล้วก็หายวับไป
ในวันนั้นข้าพเจ้าขุดเงินสามพันสิกวินที่ฝั่งไว้ แล้วเปิดร้านค้าขายเหมือนแต่ก่อน อยู่ต่อมาไม่ช้าข้าพเจ้าเห็นสุนัขดํา สองตัวนี้เดินตรงรี่เข้ามาหาทําท่าอ่อนน้อมตามนิสัยสัตว์ ยังมิทันที่ข้าพเจ้าจะนึกประการไร นางพรายซึ่งหายตัวไปตั้งแต่วันนำข้าพเจ้าเหาะมาส่งบ้าน ก็แสดงกายปรากฏขึ้นโดยพลันแล้ว กล่าวว่า สามีที่รักของข้าพเจ้าขออย่าได้ประหลาดใจเลย สุนัข ตาสองตัวนี้ คือน้องชายผู้เนรคุณท่าน ข้าพเจ้าโกรธแค้น เขายิ่งนักซึ่งมิได้ชื่อตรงรู้คุณท่าน พอข้าพเจ้าอุ้มท่านมาส่ง แล้วกลับไปคุมเรือมา แต่ครั้นจะเอาเขาโยนทะเลเสียก็สงสารอยู่จึงได้สาปเสีย เขาจะต้องเอารูปเป็นสุนัขดำอยู่เช่นนี้มีกำหนด ๑๐ ปี แล้วข้าพเจ้าจึงจะแก้คําสาป ทั้งนี้เป็นการลงโทษเขาสําหรับความไม่ซื่อสัตย์กตัญญู ตลอดเวลา ๑๐ ปีนี้ จะต้องอาศัยให้ท่านเลี้ยงดูเขาคงจะรู้สึกบุญคุณของพี่และไม่ลืม ต่อไปจะได้ไม่เนรคุณอีก ส่วนเรือสินค้าและข้าวของ ๆท่านนั้นอยู่ที่ท่าเมืองนี้ ท่านจงไปรับเอาเถิด พูดเท่านั้นแล้ว นางก็หายวับไป
บัดนี้กาลล่วงมาได้ ๑๐ ปีแล้ว ข้าพเจ้าจึงเที่ยวออกค้นหานาง เพื่อจะขอให้นางแก้คําสาป เมื่อเดินผ่านมาทางนี้พบนายพาณิชนั่งสนทนาอยู่กับผู้เฒ่าผู้จูงเนื้อทราย จึงได้หยุดทักถาม ความดู เมื่อเขาเล่าให้ข้าพเจ้านั่งก็นึกสงสารเขายิ่งนัก จึงคอยดูความตายของเขาอยู่ ต่อจากนั้นไปท่านก็ทราบความอยู่แล้ว นิยายของข้าพเจ้าอย่างเล่านี้แหละ ท่านไม่เห็นเป็นเรื่องประหลาดหรือ
สุลตานาเชเฮอร์ซาเดทูลสุลต่านว่า ข้าแต่พระองค์ฝ่ายโขมดไพร(ผีไพร)ยืนฟังนิยายของชราเพลินอยู่ ครั้นได้ยินคําถามดังนั้น จึงพลันตอบโดยไม่ทันคิดว่า นิยายเรื่องนี้ประหลาดมาก เรายอม ยกโทษพาณิชให้ ครั้นว่าเท่านั้นแล้ว โขมดไพรก็หายวับไป นายพาณิชพ้นความตาย ดังนั้น จึงพูดยกบุญคุณของสองเฒ่าเป็นอันมาก ครั้นสองเฒ่าอําลาไปแล้วนายพาณิชก็เดินทางกลับบ้านอยู่เป็นสุขสําราญกับบุตรภรรยาของตนจนตลอดอายุ
ตอนนี้เป็นเวลาจวนรุ่งแล้ว สุลตานาทูลว่า ข้าแต่พระองค์ อันนิยายที่ข้าพเจ้าเล่าถวายมาแล้วนั้น จะสนุกเท่าเทียมกับเรื่องคนหาปลาก็หามิได้ พระเจ้าชาห์เรียร์ตรัสว่า เจ้าจงเอาไว้เล่าคืนนี้เถิด แล้วเสด็จจากที่บรรทมทรงเจริญมนต์ตาม คัมภีร์โกหร่าน เสร็จแล้วเสด็จออกขุนนางเพื่อทรงว่าราชกิจตาม เคย ท่านแกรนด์วิเชียร์และบรรดาเสนาวกามาตย์ตลอดจนไพร่ฟ้า ประชาชนทั่วไปมีความยินดี ด้วยพระองค์มิได้รับสั่งให้ประหารสุลตานา
ครั้นเวลาราตรี พระเจ้าชาห์เรียร์ก็เสด็จเข้าร่วมพระ แท่นที่บรรทมด้วยสุลตานาเชเฮอร์ซาเคตามเคย เมื่อได้เวลาจวน ใกล้รุ่งสุลตานาเซเฮอร์ซาเด ก็เล่านิยายถวายดังต่อไปนี้ (คนหาปลา)