Skip to content Skip to footer
18May

พาณิชกับผีป่า

ข้าแต่พระราชา ในการก่อนมีพาณิชชาวอาหรับ ผู้หนึ่งอุดมด้วยทรัพย์ศฤงคาร มีบ่าวไพร่บริวารชายหญิงเป็นอันมาก พาณิชผู้นั้นทําการค้าขายใหญ่โต มีสาขาทั่วไปใน หัวเมืองใกล้ไกล จึงต้องเดินทางไปตรวจตราดูแลการค้าขายของตนตามหัวเมืองต่าง ๆ และทําการติดต่อกับพ่อค้าต่างเมืองอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น จึงต้องนอนค้างอ้างแรมอยู่ต่างบ้านคราวละหลาย ๆ คืน

วันหนึ่งพาณิชมีกิจสําคัญจะต้องเดินทาง ไกลไปจากบ้านซึ่งจะต้องผ่านที่กันดาร จึงเตรียมย่ามใบ ใหญ่ใส่ขนมแห้ง และผลอินทผลัมเป็นเสบียงกรังสําหรับเดินทาง เสร็จแล้วขึ้นหลังม้าควบขับไป ในระหว่างเดินทางไปเป็นหลายวัน พาณิชถูกแดดเผามีอาการเพลียนัก จึงหยุดอาศัยพักผ่อนกายอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในแถวละเมาะไม้ ห่างไกลกับ หนทางเดิน ที่โคนต้นไม้ใหญ่นั้นมีน้ําพุใสสะอาด เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหามีผู้ใดตกแต่งทําไว้ไม่

พอพาณิชเหลือบเห็นบ่อน้ำพุุก็ให้ความรู้สึกเย็นสบาย ความร้อนทถูกแดดเผามาแทบทั้งวัน ดูเหมือนหายสูญไปทั้งยังมิทันได้ลิ้มรสน้้ำ รีบลงจากหลังม้า และผูกไว้ให้กินหญ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มานั่งลงที่ปากบ่อน้ำ พลางควักผลอินทผลัม และเสบียงกรังอย่างอื่นออกมากิน กินพลางขว้างเม็ดอินทผลัมเล่นรอบ ๆ ข้างอย่างเย็นใจ ครั้นเสร็จกิจกินอาหาร ก็ชําระล้างมือ หน้าและเท้าตามลัทธิ แล้วคุกเข่าลงเริ่มสวดมนต์

ในขณะเมื่อคุกเข่าสวดมนต์อยู่ไม่ทันจบ เหลือบแลไป เห็นผีป่าชราคนหนึ่งมีขนและผมยาวไปทั้งตัว รูปร่างกํายําล่ํา ใหญ่มหึมา เดินโย่ง ๆ แลดูสูงตระหง่านตรงรี่เข้ามาหา มือ ถือดาบเล่มใหญ่ปลายงออย่างง้าว แต่พอปีศาจเข้ามาใกล้ พาณิช มันก็ตวาดกองร้องว่า เจ้าฆ่าลูกของเราตายเป็นโทษผิดหนัก จงยืนข้ำให้ข้าฟันเสียด้วยดาบเดี๋ยว พูดพลางก็เงื้อดาบ ปากก็คํารามเสียงกระหึ่มดังอย่างน่ากลัว

ฝ่ายพาณิชพอเห็นรูปร่างปีศาจ ก็ตกใจกลัวตัวสั่น ได้ยินคํากรรโชกขู่ของมันดังนั้น ก็ยังหวาดกลัวแทบหมดสติ พลางถามด้วยเสียงสั่นว่า ข้าพเจ้าทําผิดคิดร้ายประการไรหรือ ท่านผู้มีอํานาจ ที่ว่าฆ่าลูกท่านนั้นหาเป็นความจริงไม่

ปีศาจคํารามเสียงดังขึ้นกว่าเก่าว่า เจ้ายังกล้าปฏิเสธอีกเล่า เจ้ามิได้ขว้างเม็ดอินทผลัมอยู่รอบ ๆ ข้างไปดอกหรือ พาณิช ทั้งกลัวทั้งประหลาดใจรับว่า ได้ขว้างเม็ดอินทผลัมเล่นจริง แต่สงสัยว่าเม็ดอินทผลัมเล็ก ๆ จะฆ่าลูกยักษ์ได้อย่างไร ทั้ง ไม่ได้เห็นหน้าเห็นตาและรู้จักยักษ์เลย

ยักษ์จึงบอกว่าเมื่อกิน ผลอินทผลัมแล้วขว้าง เม็ดไปโดยคะนองนั้น ถูกลูกตาของลูกยักษ์ แตกตาย ยักษ์จะฆ่าพาณิชเสียแก้แค้นแทนลูก

พาณิช แก่โทษอ้อนวอนขอชีวิตว่า ที่ทําให้ลูกยักษ์ตายนั้นมิได้มีเจตนาร้าย ยักษ์หายอมยกโทษให้ไม่ เข้าจับแขนพาณิชกระชากมาแล้วเหวี่ยงลงไปนอนราบอยู่กับพื้น มือเงื้อดาบขึ้นจะฟันคอให้ศรีษะขาดกระเด็นไป

ระหว่างนั้นพาณิชเงยหน้าร้องให้ฟูมฟาย วิงวอนขอ ชีวิตต่าง ๆ นานา พลางคร่ำครวญถึงบุตรภรรยาที่บ้านว่าต่างก็จะพากันคอยหาย เมื่อตัวตายเสียในขณะนี้แล้วไหนเลยจะมีเวลาสั่งความ ทั้งจะค้นหาชากศพก็จะไม่พบ แม้จะพยายามใช้ความอ่อนหวาน พูดขอความกรุณาสักเท่าไรไม่เป็นผลสําเร็จ ปีศาจร้ายกลับขู่ตะคอกว่า ถึงจะร้องไห้จนน้ําตาเป็นเลือดก็ไม่ ยกโทษให้เป็นอันขาด อย่างไรเสียก็จะต้องฆ่าให้ตายไปตาม ลูกของมัน

ฝ่ายพาณิช เห็นหมดทางที่จะอ้อนวอนขอชีวิตได้แล้ว จึงพูดกับยักษ์ว่า ที่จะเอาชีวิตให้ได้นั้นก็จะยอมตาย แต่ขอผัดพอได้ไปสั่งเสียบุตรภรรยาและจัดการทรัพย์สมบัติเสีย ก่อนแล้วจะกลับมาให้ฆ่า ยักข์ยังไม่ไว้ใจ

พาณิชก็พยายามอ้อนวอนอีกว่า ท่านผู้มีอํานาจอันใหญ่ อันชีวิตของข้าพเจ้านี้อยู่ในเงื้อมมือและคมอวุธของท่าน ท่านจะฆ่าเสียเมื่อไรนั้น ก็ไม่เห็นว่าจะมีอํานาจอันใดมาทัดทานทานได้ และบัดนี้ข้าพเจ้าก็ยอมตายแล้ว แต่ที่ขอความกรุณาท่านทั้งนี้ก็เพื่อจะขอผัดเวลาพอ ได้เห็นหน้าบุตรภรรยาจะได้สั่งเสียกันเท่านั้น ข้าพเจ้าขอสาบานต่อพระพักตร์ พระอาหล่า ว่าจะกลับมา ให้ท่านฆ่าตามกําหนดขอให้ท่านผู้มีอํานาจจงได้กรุณาผ่อนเวลาให้ด้วยเถิด

ยักษ์เกิดความทะนงใจว่า เราก็มีอิทธิฤทธิ์ ใครเลยจะบังอาจช่วยเหลือพาณิชให้พ้นมือไปได้ ครั้นจะไม่ผ่อนเวลาให้ตามที่ขอร้องต่างก็จะพากันเข้าใจว่าเราไม่มีฤทธิ์เดช จําจะยอมผ่อนเวลาให้พาณิช

จึงถามพาณิชว่า จะขอผัดเวลาช้านานสักเพียงไร พาณิชตอบว่าขอผัดเวลาสัก ๑ ปีเท่านั้น พอวันครบกําหนด ๑ ปีแล้ว จะมาที่ใต้ต้นไม้นี้นอนคอยให้ฆ่าโดยดี ยักษ์อนุญาตให้แล้วก็หายตัวไป

ฝ่ายพาณิชเห็นยักษ์หายวับไปต่อหน้า ก็ค่อยคลายความตกใจกลัว รีบขึ้นม้าออกเดินทางกลับบ้าน พอกลับถึงบ้านบุตรภรรยาและวงศ์ญาติพากันต้อนรับด้วยความยินดี แต่พอพาณิชเล่าความที่สัญญากับยักษ์ไว้ให้บรรดาบุตรภรรยา และพวกพ้องพี่น้องฟังแล้วต่างคนพากันร้องไห้เป็นทุกข์แทนเป็นหนักหนา

เสียงครวญคร่ำพิไรอยู่เซ็งแซ่ไปทั้งบ้าน ตัวพาณิชเองถึงแม้ว่าได้ร้องให้วอนยักษ์มาเสียเป็นก่ายกองแล้ว แต่เมื่อเห็นบุตรใหญ่น้อยร้องไห้กันก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้เลย ร้องไห้กับบุตรภรรยาอีก

วันรุ่งขึ้น พาณิชตั้งต้นชําระสะสางหนี้สินแจกจ่ายให้ปันสิ่งของแก่บรรดาเพื่อนฝูงที่รักใคร่ และทําบุญให้ทานแก่ยาจก ปล่อยผู้คนข้าทาสหญิงชายเสียเป็นอันมาก เหลือไว้แต่ที่พอจะใช้สอยไปชั่วเวลา ๑ ปี ส่วนทรัพย์สมบัติที่เป็นปึกแผ่นก็จัด แบ่งนั่นยกให้แก่บุตรทั่วถึงกัน ส่วนบุตรที่ยังเยาว์ก็ตั้งผู้ปกครองทำพินัยกรรม มอบทรัพย์ให้เป็นส่วนๆเรียบร้อย ด้านฝ่ายภรรยาก็จัดแบ่งสินสมรส ปันทรัพย์สมบัติอื่น ๆ ให้อีกเป็นการเสร็จสิ้นไปทุกราย ตัวพาณิชก็ถือศีลกินบวชสํารวมใจรอเวลาความตายอยู่

ครั้นเวลาล่วงได้ ๑ ปี พาณิชจําใจต้องจากบ้านลาบุตร ภรรยา คณาญาติด้วยความเศร้าสลด บุตรภรรยาก็พากันร้องไห้เสียงขรมไม่ใคร่ยอมให้จากไปเลย พาณิชผู้สัตย์ซื่อจึงปลอบบุตรภรรยาว่า เป็นความจําเป็นจําใจที่จะต้องจากเมียรักและลูกรักทั้งหลายไปตาย ถึงจะพากันเศร้าโศกสักเพียงไร ก็ไม่มีหนทางจะแก้ไขได้แล้ว เพราะการที่จะต้องไปตายครั้งนี้ ด้วยเกรงบัญชาของพระอะหล่าเป็นใหญ่ เพราะได้สาบานไว้ ต่อพระพักตร์ของพระองค์มิสามารถจะหลีกเลี่ยงได้

โดยอันพระอะหล่าเจ้าจะบันดาลให้บังเกิดแก่ตน เพราะความเสียสัตย์ยิ่งใหญ่หลวงกว่าที่จะยอมตายด้วยอาวุธของยักษ์ สั่งสอนบุตร
ให้เอาเยี่ยงอย่าเขา สู้ก้มหน้าไปสู่กรรมด้วยความไม่หวั่นไหวสะทกสะท้านในเมื่อถึงความจําเป็นจะต้องถือความสัตย์

ธรรมดามนุษย์เกิดมาแล้วก็จะตาย เพราะฉะนั้นจึงควรตาย เสียดีกว่าจะเสียสัตย์ เพราะว่าถึงยอมเสียสัตย์แล้วใช่จะหนีความตายได้ก็หาไม่ สั่งเสร็จแล้วพาณิชหักใจกระโดดขึ้นหลังม้าควบหนีบุตรภรรยาที่โศกเศร้ารจะติดตามไปตายด้วยนั้น ครั้นถึงที่ใต้ต้นไม้ตามวันกําหนดที่ปฏิญาณไว้แล้ว ก็ลงจากหลังม้านั่งรอท่ายักษ์อยู่ริมขอบบ่อน้ำพุที่ ๆ กําหนดไว้

ขณะนั่งรอความตายอยู่นั้น มีชายชราคนหนึ่งจูงเนื้อเดินเข้ามาหา พอชายชราเดินเข้ามาถึงพาณิช ต่างฝ่ายทํา การเคารพกันตามประเพณีนิยม ชายชราถามพาณิชว่าเหตุไร จึงมานั่งอยู่ที่นั่น และบอกต่อไปว่าในป่านี้มีผีร้ายอาศัยอยู่เป็นอันมาก ถ้าขืนอยู่อีกต่อไปน่าจะไม่รอดชีวิต

ฝ่ายพาณิชก็เล่าเรื่องให้ฟังแต่ต้นจนปลาย ชายชราน่านั่งอยู่ด้วยความพิศวงและสงสารยิ่งนัก ชายชราจึงสรรเสริญพาณิชในข้อที่รักษา สัตย์ปฏิญาณต่อมารร้ายไว้ได้ และว่าเขาสงสารพาณิชนักจะคอยดูอยู่ด้วยจนปีศาจร้ายจะมาฆ่า

ขณะเมื่อชายทั้ง ๒ นั่งสนทนากันอยู่ มีชายชราอีกคนหนึ่งเดินมา มีสุนัขดํา ๒ ตัวเดินตามมาด้วย พอเดินเข้ามาใกล้ ชายชราคนมาใหม่ก็ทําความเคารพชายทั้ง ๒ ตามธรรมเนียมและปราศรัยไต่ถามว่าเหตุไรท่านทั้ง ๒ จึงมาอยู่ที่นี้ ชายชราคนมาก่อนก็เล่าเรื่องของพาณิชให้ฟัง โดยถ้วนถี่เท่าที่ได้ฟังมา แล้วจึงพูดต่อไปว่า วันนี้เป็นวันกําหนดที่ปีศาจจะมาฆ่าพาณิช เขาจึงอยากจะอยู่ดูเหตุการณ์ด้วย

ครั้งคนมาทีหลัง ได้ฟังเรื่องประหลาดดังนั้นจึงตกลงใจจะคอยอยู่ดูผลที่สุดของเหตุการณ์นั้นด้วย พลางก็นั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ ทั้งสองคนก็สนทนาปรับทุกข์สงสาร พาณิชอยู่

ในเวลาประเดี๋ยวใจ คนทั้งสามแลไปทางท้องทุ่งแถบชายละเมาะ ทันใดนั้นเห็นควันพรุ่งขึ้นเป็นลําสูงเลื่อนลอยลิ่วตรงรี่เข้ามาหาคนทั้งสาม บัดเดี๋ยวก็อันตรธานสูญไป พอควันสูญไปก็ปรากฏเป็นยักษ์ถือดาบใหญ่เดินเข้ามาหา พาณิชได้เหลียวดู ๒ เฒ่าพลางจับมือนายพาณิชและคำรามว่า ลุกขึ้นข้าจะเอาชีวิตเจ้าเสียในบัดนี้เพราะเจ้าฆ่าลูกของข้า

สองเฒ่าชราและนายพาณิชพากันตกใจกลัวยิ่งนัก ต่างคนก็ร้องไห้โอดครวญด้วยความกลัวเสียงแช่ไปทั้งป่า ชายชราผู้จูงเนื้อแข็งใจ ตรงเข้าคุกเข่าคลานเข้าไปเกาะตีนยักษ์ไว้ แล้วร้องขอโทษให้ยักษ์ปล่อยนายพาณิช แกอ้อนวอนรำพันว่า ขอท่านจงระงับโทษไว้สักครั้งเถิด จงยับยั้งความโกรธปล่อยพาณิชเสียและฟังข้าพเจ้าก่อน อยากจะชักนิยายเรื่องของข้าพเจ้าและเรื่องของเนื้อทรายตัวนี้ให้ท่านฟัง นิยายเรื่องนี้สนุกสนานพอจะชักชวนให้ท่านเพลิดเพลินใจได้เป็นแน่ ปีศาจได้ฟังดังนั้นจึงปล่อยพาณิช และลดมือที่เงื้อดาบลงเสียพลางพูดกับชายชราว่า ถ้าเรื่องที่จะเล่านั้นสนุกสนานยิ่งกว่าเรื่องของพาณิชนั้นแล้ว ก็จะผ่อนผันยกโทษให้ หาไม่แล้วดาบที่ลดลง ณ บัดนี้ก็จะเงื่อขึ้นอีก และไม่มีวันลดลงเลย จนกว่าศีรษะพาณิชจะกระเด็นออกจากคอ


พอนางเชเฮอร์ ชาเดเล่ามาถึงเพียงนี้ นางสังเกตเห็น ว่าแสงทองเริ่มเรื่อฟ้า เป็นเวลาที่สุลต่านจะตื่นจากบรรทมขึ้น เจริญโมหมัดมนต์ตามคัมภีร์โกหร่าน ก็หยุดเล่านิยายลงทันที ดินาซาเดกชมเชยว่า นิยายที่พี่นางสรรเอามาเล่านั้นประหลาดและสนุกสนานยิ่งนัก

นางเชเฮอร์ซาเดได้ที่จึงพูดว่า ตอนต่อไป ของนิยายนี้มีเนื้อความประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งกว่าตอนต้นเป็นอันมาก ถ้าใครได้ฟังแล้วก็เหลือที่จะลดชมความสนุกสนานและจะเว้นความเพลิดเพลินใจเสียมิได้เลย แล้วนางกล่าวเปรย ๆ ให้ เจ้าชาห์เรียร์ได้ทรงสดับด้วยว่า จะเล่าให้จบได้หรือไม่นั้นก็สุดแล้วแต่สุตต่านจะทรงโปรด ถ้าทรงพระกรุณาให้นางมีอายุยืนยาวต่อไปได้ถึงวันพรุ่งนี้เข้า ก็จะเล่าถวายต่อไปให้น้องฟังอีก

ฝ่ายพระเจ้าชาห์เรียร์ได้ทรงนิยาย รู้สึกเพลิดเพลิน พระหฤทัย และเนื่องทั้งที่ทรงกรุณาโปรดปรานในความสวยงาม ของนางเชเฮอร์ซาเดเจ้าของเรื่องด้วย พระองค์ทรงดําริว่าจะให้ นางมีอายุต่อไปอีก ๑ วัน จนกว่าจะเล่าเรื่องนั้นจบลง แล้วจึงจะให้ฆ่าเสียในวันรุ่งขึ้นทรงดำริแล้วก็เสด็จออกจากพระที่บรรทม ครั้นเสร็จการเจริญมนต์ในโกะหร่าน ก็เสด็จออกขุนนางข้างหน้าตามราชประเพณี

ระหว่างนั้น แกรนด์วิเชียร์มีความอักอวนป่วนใจให้ วิตกเป็นอันมาก ในคืนวันนั้นไม่เป็นอันหลับนอนเฝ้าแต่เป็นห่วง ผูกพันถึงลูกรักอยู่มิได้ขาด นอนระทมทุกข์ถึงเหตุการณ์อันจะเกิดแก่บุตรีในวันรุ่งขึ้น และยังเป็นทุกข์หนักใจในข้อที่จะต้องเป็นผู้ฆ่าบุตรีที่รักใคร่ด้วยมือของตนเอง พอรุ่งเช้าได้เวลาเข้าเฝ้าสุลต่านให้มีความเกรงกลัวตัวสั่นอยู่ แว่วอยู่เสมอว่าพระองค์รับสั่งให้คร่าตัวบุตรีไปฆ่าเสีย แต่ครั้นสุลต่านเสด็จออกขุนนางไม่ได้ตรัสสั่งประการไรถึงเรื่องนั้น แกรนด์วิเซียร์ก็ค่อยคลายใจลง

เมื่อสุลต่านออกว่าราชกิจการเมืองตามเคย เสร็จแล้วก็เสด็จขึ้น ครั้นตกเวลากลางคืนพระองค์ก็เสด็จเข้าสู่ห้องเชเฮอร์ ชาเดผู้เป็นชายา นางก็เข้าร่วมพระที่บรรทมกับพระองค์อีกคนหนึ่ง พอเวลาจวนสาง ดินาซาเด็กคลานเข้าไปปลุกพี่เหมือนอย่างคืนก่อน พลางปราศรัยอย่างเคย

สุลต่านมิทันให้เชเฮอร์ซาเอกราบทูลขออนุญาต ตรัสว่าเรื่องเป็นอย่างไรต่อไปก็ให้เล่าเสียให้จบ นางเซเฮอร์ซาเตก็เริ่มชักนิยายต่อไปว่า ข้าแต่พระราชาเมื่อยักษ์ตกลงยอมให้ชายชรา เล่าเรื่องของแกกับเนื้อทรายของตน ชายชราจึงเล่าให้ยักษ์ฟังว่า…

ขอขอบคุณ เนื้อหาหลักจากหนังสือ อาหรับราตี ของ มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป

Web: https://www.snf.or.th/2019/about-snf/

Facebook: https://www.facebook.com/snfsiam/

leave a comment