เรื่องมีอยู่ว่า ชายคนหนึ่งเมื่อเรียนจบแล้ว ได้รับของขวัญชิ้นหนึ่งจากพ่อเป็นม้าหนุ่ม ม้าตัวนี้ฝีเท้าดีมาก ท่วงทีงามสง่า แข็งแรง เขาดีใจมากกับรางวัลแห่งชีวิตชิ้นนี้ ทันทีที่ได้ม้าจากพ่อ เขาจึงกระโดดขึ้นควบขี่ทันทีอย่างมีความสุข
แต่พลันที่เขากระโดดขึ้นขี่ ม้าตัวนี้ก็ออกวิ่งอย่างรวดเร็ว ไม่ยอมหยุด บังคับอย่างไรก็ไม่เป็นผล ท่ามกลางความเร็วของฝีเท้าม้า เขาไม่กล้ากระโดดลงเพราะเกรงอันตราย ในเมื่อไม่กล้ากระโดดลงจากหลังม้า บัณฑิตหนุ่มจึงต้องควบขี่อยู่บนหลังม้าเช่นนั้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น ผมสีดำสนิท ม้าพาเขาวิ่งจากบ้านสู่บ้าน จากเมืองสู่เมือง จากประเทศสู่ประเทศ จากวันสู่คืน จากเดือนสู่ปี จากวัยหนุ่มแน่นผ่านไปถึงวัยกลางคน จนกระทั่งผมสีดำของเขากลายเป็นผมสีดอกเลาขาวโพลนเต็มหัว แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่ได้ลงจากหลังม้า ร่างกายของเขาทรุดโทรม อมโรค เหี่ยวย่น หน้าตาของเขามีแต่ริ้วรอยของวันเวลา ดวงตาของเขาแห้งโหยขาดชีวิตชีวา เหมือนซากศพที่ยังมีลมหายใจ
วันหนึ่ง ขณะควบขี่อยู่บนหลังม้าผ่านไปทางย่านชุมชนแห่งหนึ่ง ผู้คนหลายร้อยคนเห็นเขาควบม้ามาแต่ไกล ต่างพากันมุงดู ชาวบ้านจึงตะโกนถามด้วยความสนใจใคร่รู้ว่าเขากำลังจะควบม้าไปไหน ชายชราอดีตบัณฑิตหนุ่มตะโกนตอบสวนออกไปว่า
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมกำลังจะไปไหน เพราะนับแต่ขึ้นขี่อยู่บนหลังม้า ผมก็ยังไม่เคยลงเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถ้าคุณอยากรู้ว่าผมกำลังจะไปไหน
ก็ลองถามม้าของผมดูสิ”
แล้วม้าจะตอบแทนเขาได้ไหม.
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ควบขี่อยู่บนหลังม้ามาแสนนาน จนชีวิตเริ่มเสียสมดุล บัดนี้เราควรจะเริ่มทบทวนวิถีชีวิตตัวเองได้แล้ว จากนั้นควรบอกตัวเองให้มองหาวิธีลงจากหลังม้าเป็นพักๆ แล้วค่อยกลับขึ้นไปขี่ใหม่ก็ยังได้ ทั้งนี้เพื่อจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีคุณค่าไม่น้อยไปกว่าการควบขี่อยู่บนหลังม้าเพียงอย่างเดียว
ศิลปะการลงจากหลังม้าเป็นพักๆ หรือลงแบบลาขาดเพื่อจัดสมดุลชีวิต ไม่ใช่ศิลปะขั้นสูง ใครๆก็ทำได้ ถ้ามีสติ แต่ถ้าปราศจากสติเสียแล้ว แม้มีใครไปตะโกนบอกให้ลงจากหลังม้าบางทีเขาอาจด่าตอบ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็จงปล่อยเขาให้ควบม้าต่อไปจนสาแก่ใจของเขาเถิด