มีหนุ่มคนหนึ่ง เขาอยากจะเป็นนักฟันดาบที่เก่งกาจ เขาไปหาอาจารย์สอนฟันดาบที่เก่งกาจให้ช่วยสอนเขาให้เป็นนักฟันดาบ.
เขาถามอาจารย์ว่าจะใช้เวลาสักกี่ปี. อาจารย์ตอบว่าประมาณ ๗ ปี. เขาชักจะเรร่วน เพราะว่า ๗ปี นี้มันเป็นเวลามิใช่น้อย ฉะนั้นเขาขอร้องใหม่ว่า เขาจะพยายามให้สุดฝีมือสุดความสามารถในการศึกษาฝึกฝน ทั้งกำลังกายกำลังใจทั้งหมด. ถ้าเป็นเช่นนี้ จะใช้เวลาสักกี่ปี. อาจารย์ก็บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นต้องใช้เวลาสัก ๑๔ปี” แทนที่จะเป็น ๗ปี กลายเป็น ๑๔ปี ฟังดู!
หนุ่มคนนั้นก็โอดครวญขึ้นมาว่า บิดาเขาแก่มากแล้ว จะตายอยู่รอมร่อแล้ว เขาจะพยายามอย่างยิ่ง ให้บิดาของเขาได้ทันเห็นฝีมือฟันดาบของเขาก่อนตาย เขาจะแสดงฝีมือฟันดาบของเขาให้บิดาของเขาชม ให้เป็นที่ชื่นใจแก่บิดา ให้ทันสนองคุณของบิดา จะต้องใช้เวลาสักเท่าไร ขอให้อาจารย์ช่วยคิดดูให้ดีๆ
ท่านอาจารย์ก็บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นต้อง ๒๑ ปี นี้มันเป็นอย่างไร ขอให้นึกดู แทนที่จะลดลงมา มันกลายเป็นเพิ่มขึ้นเป็น ๒๑ปี หนุ่มคนนั้นจะเล่นงานอาจารย์อย่างไรก็ไม่ได้ เพราะเป็นอาจารย์ จะทำอย่างอื่นก็ไม่ถูก นึกไม่ออก เพราะไม่มีใครจะเป็นอาจารย์สอนฟันดาบให้ดีกว่านี้ ซึ่งเป็นอาจารย์ของประเทศ ดังนั้นเขาก็ซังกะตายอยู่ไปกะอาจารย์ ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีนั่นเอง.
หลายวันต่อมา อาจารย์ก็ใช้คนคนนี้ แทนที่จะเรียกไปสอนให้ใช้ดาบฟันดาบ กลับให้ทำครัว ให้ทำงานในครัว ให้ตักน้ำ ผ่าฟืนหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่เรียกว่าต้องทำงานในครัว.
หลายวันล่วงมา วันหนึ่ง อาจารย์ผลุนผลันเข้าไปในครัว ด้วยดาบสองมือ ฟันหนุ่มคนนี้ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้สึกตัว อุตลุดเป็นการใหญ่ เขาก็ต้องต่อสู้ไปตามเรืองตามราวของเขา ตามที่เขาจะสู้ได้ด้วยใช้อะไรแทนดาบ หรือด้วยมือเปล่าๆ หรืออะไรก็สุดแท้ สองสามอึดใจแล้วก็เลิกกัน. อาจารย์ก็กลับไป แล้วต่อมาอีกหลายวัน เขาก็ถูกเข้าโดยวิธีนี้อีก และมีบ่อยๆ อย่างนี้เรื่อยไป ไม่กี่ครั้งเขาก็กลายเป็นนักฟันดาบขึ้นมาได้ โดยไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งอาจารย์บอกว่า กลับไปได้ คือจบหลักสูตรแล้ว และปรากฏว่า ต่อมาหนุ่มคนนี้ก็เป็นนักดาบลือชื่อของประเทศไป.
นิทานเรื่องนี้สอนว่าอย่างไร ตอบสั้นๆ ที่สุดก็คือว่า การทำอะไรด้วยความยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวตน ว่าของของตนนั้น ใช้ไม่ได้ ไม่มีทางที่จะเป็นผลดีเลย.
คือ ถ้าหนุ่มคนนี้ยังคิดว่า กูจะดี กูจะเด่นอยู่ละก็ ทีนี้ถ้ายิ่งจะทำให้ดีที่สุด กูจะทำให้เก่งที่สุด ให้เร็วที่สุด อย่างนี้ด้วยด้วยแล้ว ไอ้ตัวกู มันยิ่งจะขยายตัวออกไปอีก. ถ้ายิ่งจะให้ทันบิดาเห็น ก่อนตายแล้ว ตัวกูมันยิ่งพองมากออกไปอีก มันยิ่งเร่งร้อนออกไปอีก อย่างนี้จิตไม่เป็นสมาธิได้ จิตเต็มอัดด้วยตัวกู กลัดกลุ้มไปด้วยตัวกู ของกู ไม่เป็นจิตว่าง ไม่เป็นตัวสติปัญญาอยู่ในจิต ไม่สามารถจะมีสมรรถภาพเดิมแท้ของจิตออกมาได้ เพราะมันกลัดกลุ้มอยู่ด้วยอุปทานว่า ตัวกู ของกู หรือความเห็นแก่ตัวนี้ มันเลยไม่เฉียบแหลมไม่ว่องไว ไม่ active อะไรหมด. ฉะนั้นถ้าขืนทำไปอย่างนี้จริงๆ แล้วจะต้องใช้เวลา ๗ปี หรือ ๑๔ปี หรือว่า ๒๑ปีจริงๆ ก็เป็นไปได้.