ผู้ใหญ่บ้านมีลูกสาวคนหนึ่ง เธอแต่งงานแล้ว ตอนอยู่ด้วยกันใหม่ๆเธอก็รักสามีเธอดีตามประสาคนเพิ่งแต่งงาน
แต่พอกาลเวลาล่วงเลยนานเข้า เธอก็เริ่มมีความรู้สึกเบื่อสามีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จนกระทั่งในที่สุด มันก็กลายเป็นความเกลียดชัง เธอไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกต่อไป
วันหนึ่ง เธอตัดสินใจไปปรึกษายายแก่หมอผีที่อยู่ห่างจากชุมชนหมู่บ้าน เธอบอกยายแก่ว่า
“เรื่องนี้พูดแล้วก็น่าอาย แต่ชั้นคงต้องบอกยายตรงๆว่าตอนนี้ชั้นรู้สึกเบื่อหน้าสามีเต็มทน ทำอย่างไรถึงจะไม่ต้องเจอหน้าเขาอีกคะ”
“เรื่องนี้ง่ายมาก เธอกลับไปปั่นฝ้ายในคืนวันเพ็ญ เอาไปทอในคืนวันเพ็ญ ฟอกในคืนวันเพ็ญ ตัดเย็บเป็นเสื้อกิโมโนในคืนวันเพ็ญ แค่นั้นก็ได้ผล” ยายแก่ให้คำแนะนำ
ลูกสาวผู้ใหญ่บ้านฟังแล้วดีอกดีใจ เพราะวิธีนี้ไม่ยากเย็นอะไรเลย เธอจัดการทำตามที่ยายแก่หมอผีบอกทุกขั้นตอน เมื่อได้เสื้อกิโมโนดังกล่าวแล้ว เธอก็นำไปให้สามีสวม ปรากฏว่าเขาหายไปในอากาศทันที เธอตกใจมากเพราะไม่คิดว่าเสื้อนั้นจะมีมนตร์ขลังขนาดนี้
ลูกสาวผู้ใหญ่บ้านรออยู่ครู่ใหญ่ก็ไม่เห็นวี่แววว่าสามีจะกลับมาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เธอเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี ในที่สุดก็ต้องไปปรึกษายายแก่หมอผีที่อยู่ห่างจากชุมชนหมู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคราวนี้ยายแก่บอกว่า
“ถ้าอยากเห็นหน้าก็จงไปรอที่ “ทางแยก” ตอนตีสอง ในคืนวันเพ็ญสิ”
เธอทำตามที่ยายแก่พูดอีก คือไปยืนคอยตรงทางแยกเข้าสู่หมู่บ้านตามเวลาที่ยายหมอผีนั่นบอกเอาไว้
กลางดึกคืนนั้น ท่ามกลางแสงจันทร์ซีดเผือด ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเธอเงียบงันวังเวงชอบกล
ทันใดนั้นก็มีสิ่งขาวโพลนโผล่ขึ้นมาแต่ไกล และค่อยๆลอยใกล้เข้ามาทุกที เมื่อเธอเขม้นมองก็พบว่าสิ่งนั้นแท้จริงก็คือสามีเธอเอง เขาอยู่ในชุดกิโมโนสีขาวตัวที่เธอให้เขาใส่ในคืนวันเพ็ญ เขากำลัง “ลอย” เข้ามา
เมื่อเขาลอยผ่านเธอ มีเสียงกระซิบเบาๆเย็นๆว่า
“กิโมโนคืนวันเพ็ญชุดนี้ใส่โดยหารู้จุดประสงค์ไม่ได้ จึงกลายเป็นบริวารตามเสด็จพญามัจจุราชตลอดกาล…”
และยังไม่ทันที่ลูกสาวผู้ใหญ่บ้านจะหายตกใจ เงาขาวๆนั้นก็ลอยกลับเข้าสู่ความมืด
“ทางแยก” ปกติหมายถึง “ทางแยกเข้าสู่หมู่บ้าน” แต่บางทีจะตีความหมายเป็น “ทางแยกลงนรก” ก็ได้เหมือนกัน