พระอาจารย์โมกุเอ็นเป็นนักบวชที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เพราะท่านเป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายเซนรูปหนึ่ง ตลอดช่วงชีวิตของท่านจะมีใบหน้าสงบนิ่ง ท่านไม่แสดงความรู้สึกทางสีหน้าใดๆ แม้แต่น้อย ช่วงบั้นปลายของท่านต้องเผชิญกับโรคร้าย แต่เพราะยังห่วงเรื่อง ผู้สืบทอด ท่านจึงพยายามฝืนสังขารตนเองเอาไว้ จนกระทั้งในวันหนึ่งมีลูกศิษย์ที่ต่างนัดหมายกันมาเยี่ยมท่านเป็นจำนวนมาก ท่านโมกุเอ็นจึงเห็นเป็นโอกาสที่จะหาผู้สืบทอด
“ใครก็ตามที่แสดงความหมายของเซนได้เหมาะสมที่สุด คนผู้นั้นจะได้รับบาตรและจีวร เพื่อแสดงว่าผู้นั้นเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากอาจารย์” ศิษย์คนแล้วคนเล่าต่างก็แสดงภูมิความรู้ของตน แต่ทว่าก็ยังไม่มีผู้ใดได้รับบาตรและจีวรจากพระอาจารย์โมกุเอ็น จนเหลือแต่อันจูศิษย์ที่อยู่กับพระอาจารย์โมกุเอ็นมานาน
“เจ้าละอันจู”
ท่านอันจูไม่ได้กล่าวถ้อยคำใด ท่านคลานเข้าไปหาพระอาจารย์โมกุเอ็น แล้วดันถ่วยยาที่วางอยู่เข้าไปหาพระอาจารย์
“น่าเสียดายยิ่งนัก แม้แต่เจ้าที่อยู่กับอาจารย์มานานก็ยังไม่สามารถเข้าใจเซนได้ถึงแก่นแท้” พระอาจารย์โมกุเอ็นกล่าวจบก็เอื้อมไปหยิบถ้วยยา เมื่ออันจูเห็นเช่นนั้นแทนที่จะประคองพระอาจารย์กลับเลื่อนถ้วยยากลับมาไว้ที่เดิม
เมื่อเห็นเช่นนั้นใบหน้าของพระอาจารย์โมกุเอ็นที่เคยนิ่งเฉยมาตลอดชีวิตก็ปรากฏรอยยิ้ม สร้างความประหลาดใจให้แก่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย
“อันจูเจ้าเหมาะสมที่จะเป็นผู้สืบทอด เช่นนี้แล้วอาจารย์ก็คงละสังขารได้เสียที”
แง่คิดจากเซน : เข้าใจถึงความหมายการเลื่อนถ้วยยาของอันจูหรือไม่การเลื่อนถ้วยยาของอันจูในครั้งแรกหมายถึงว่า พระอาจารย์เต็มไปด้วยโรครุมเร้ามากมาย การเลื่อนถ้วยยากลับที่เดิมก็เพื่อที่จะกล่าวว่า “อย่าฝืนสังขารอีกเลย” นั่นคือพระอันจูบอกให้ท่านพระอาจารย์โมกุเอ็น อย่ายึดติดกับการหาผู้สืบทอดโดยการฝืนสังขารตนนั่นเอง