ยังมีอุบาสกผู้หนึ่งเดินอยู่บริเวณริมหาดทราย พบเห็นคนเรือกำลังลากเรือจากหาดทรายลงน้ำเพื่อเตรียมโดยสารคนออกไป ยามนั้นเองอาจารย์เซนเดินผ่านมา อุบาสกผู้นี้จึงเข้าไปเอ่ยถามอาจารย์เซนว่า “ท่านอาจารย์ เมื่อตะกี้คนเรือลากเรือจากหาดทรายลงไปในน้ำเพื่อรับผู้โดยสาร ทำให้บรรดากุ้ง หอย ปู ปลา ริมหาดโดนเรือทับตายไปเป็นจำนวนมาก ไม่ทราบว่าในกรณีนี้บาปกรรมจะตกอยู่ที่คนเรือหรืออยู่ที่ผู้โดยสารกันแน่?”
อาจารย์เซนไม่ขบคิดให้มากความ กล่าวตอบว่า “ไม่ใช่บาปของผู้โดยสาร และไม่ใช่บาปของคนเรือ”
“สองฝ่ายล้วนไม่บาป เช่นนั้นบาปกรรมอยู่ที่ใครเล่า?” อุบาสกยังคงไม่กระจ่าง ถามต่อไป
มิคาด อาจารย์เซนกลับจ้องอุบาสกพลางตอบว่า “บาปกรรมล้วนตกอยู่ที่ตัวท่าน!”
คนเรือทำงานสุจริตหาเลี้ยงชีพ ผู้โดยสารเพียงหวังโดยสารเรือออกเดินทาง กุ้ง หอย ปู ปลา ซ่อนตัวอยู่ใต้ผืนทรายจึงโดนเรือทับ กรรมมิใช่เพียงสองฝ่ายแต่เป็นสามฝ่าย ทั้งคนเรือ ผู้โดยสาร และสัตว์ใต้ทราย ทว่าจะนับเป็นบาปของผู้ใด? เมื่อทั้งสามฝ่ายล้วนไร้จิตเจตนา “บาปสร้างจากจิต เมื่อไร้จิต ใยเกิดบาปกรรม” ทว่าอุบาสกเจตนาหาผิดบาปจากความไม่มี เมื่อมีจิต บาปกรรมจึงตกแก่ตัวของเขาเอง