笠地蔵(かさじぞう
เลื่อน >>
นานมาแล้ว ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในญี่ปุ่น มีคุณตาคุณยายยากจนสองคนอาศัยกันอยู่ตามลำพัง… (นิทานญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ชอบขึ้นต้นด้วยประโยคแบบนี้กันจัง^^”) ทั้งคู่หาเลี้ยงชีพด้วยการสานหมวก (Kasa, คะสะ)
ในช่วงที่เทศกาลปีใหม่กำลังจะมาถึง คุณยายปรึกษากับคุณตาว่า… ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนแทบจะไม่เหลือข้าวสารอยู่เลย แถมหิมะก็หนาจนหาหญ้ามาสานหมวกได้ยากลำบากเหลือเกิน แล้วจะสานหมวกไปขายกันได้อย่างไรล่ะ?
ทันใดนั้น ลูกหนูตัวหนึ่งก็โผล่หน้าออกมาจากรูข้างผนัง แล้วร้องว่า “หิวจังเลยยยยย” พ่อหนูและแม่หนูจึงเอ็ดลูกชายว่า “บ้านนี้ยากจน จนแทบไม่มีอะไรเหลือให้เรากินเลย อดทนหน่อยก็แล้วกันนะลูก” คุณตาจึงกล่าวว่า “เจ้าหนูตัวน้อย… น่าสงสารจังเลย พวกเรานี่แย่เหลือเกิน แม้แต่หนูก็ยังต้องมาทนหิวไปกับเราด้วย” ด้วยความรู้สึกผิด คุณตาจึงมอบข้าวสารที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดให้กับครอบครัวหนูไป
เช้าวันต่อมา หลังจากกินอาหารเช้าซึ่งมีเพียงผักดองและชาแล้ว พวกหนูก็ออกเดินไปในกองหิมะ และเก็บหญ้าแห้วหมูซึ่งใช้สำหรับทำหมวกคะสะกลับบ้านมาได้จำนวนหนึ่ง พวกมันมอบฟ่อนหญ้าให้กับสองตายาย แล้วกล่าวว่า “พวกเราขอตอบแทนสำหรับอาหารเมื่อคืนนี้ด้วยหญ้าฟ่อนนี้ก็แล้วกันนะ…” คุณตาคุณยายซาบซึ้งใจมาก พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณครอบครัวหนู
ถ้าพวกเขาสานหมวกและนำไปขายในเมือง พวกเขาน่าจะสามารถซื้ออาหารกลับมาได้มากพอสำหรับเทศกาลปีใหม่นี้ ดังนั้นทั้งหนูและคนต่างช่วยกันลงมือสานหมวกอย่างขะมักเขม้น เมื่อทำเสร็จหมดแล้ว ชายแก่ก็แบกหมวกเหล่านั้นขึ้นหลัง และลุยหิมะมุ่งหน้าเข้าเมืองทันที
เมื่อเดินมาถึงชานเมือง คุณตาก็สังเกตเห็นรูปปั้นหินจิโซ (Jizo-sama)* ตั้งเรียงรายอยู่ บนเศียรมีหิมะปกคลุมอยู่เต็มไปหมด คุณตาเห็นดังนั้น จึงกล่าวว่า “ท่านจิโซ… ดูเหมือนเศียรของท่านจะหนาวมากนะ” จากนั้นคุณตาก็นำผ้าขนหนูที่คาดศีรษะไว้ มาบรรจงเช็ดหิมะออกจากเศียรของรูปปั้นจิโซจนหมด
ขณะที่ในเมือง ผู้คนกำลังเตรียมตัวสำหรับเทศกาลปีใหม่กันอย่างสนุกสนาน และอึกทึกครึกโครม เมื่อเข้าเมืองไปแล้ว ชายแก่ที่พยายามตะโกนขายหมวกสาน จึงไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร เวลาผ่านไปจนเริ่มค่ำ ถนนเริ่มไร้ผู้คน คุณตาก็ยังไม่สามารถขายหมวกได้แม้แต่ใบเดียว จนกระทั่งเขาต้องตัดสินใจแบกหมวกสานขึ้นหลังอีกครั้งเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน ระหว่างทาง.. เขาก็ได้แต่รำพึงรำพันอย่างหดหู่ว่า “ข้าทำอะไรไม่ได้เลย… ไม่มีอะไรเลย แม้กระทั่งของที่สามารถมอบให้ท่านจิโซได้”
เมื่อเดินกลับมาถึงบริเวณที่รูปปั้นหินจิโซตั้งอยู่ ชายแก่ก็สังเกตเห็นหิมะที่ตกมาคลุมเศียรของรูปปั้นอีกครั้ง เขาก็ทำเช่นเดิม คือปัดหิมะออกจากรูปปั้นทั้งหมด คุณตากล่าวกับรูปปั้นจิโซว่า…“ข้าขายหมวกสานไม่ได้เลย ไม่มีเงินมาซื้อข้าวปั้น ข้าจึงไม่มีอาหารมาถวาย ถ้างั้น… ข้าจะสวมหมวกสานเหล่านี้ให้กับพวกท่านแทนก็แล้วกันนะ” หลังจากสวมหมวกลงบนเศียรของรูปปั้นจนหมด ปรากฎว่าหมวกมีไม่พอ รูปปั้นจิโซนั้นมี 6 ขณะที่หมวกสานมีแค่ 5 คุณตาจึงนำผ้าขนหนูของเขามาพันเศียรรูปปั้นจิโซองค์สุดท้าย แล้วจึงเดินกลับบ้านท่ามกลางหิมะตก โดยไม่มีอะไรคลุมศีรษะ
เมื่อกลับถึงบ้าน พวกหนูเห็นคุณตาไม่มีหมวกสานแบกขึ้นหลังกลับมาด้วย ก็ตื่นเต้นดีใจคิดว่าคุณตาขายหมวกจนหมดเกลี้ยง คุณตาได้แต่กล่าวว่า “ให้อภัยข้าเถอะ ข้าไม่สามารถขายหมวกได้แม้แต่ใบเดียว” ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คุณยายและครอบครัวหนูฟัง
หลังจากได้ฟังเรื่องทั้งหมด คุณยายก็บอกว่า “นั่น! เป็นการกระทำที่ดี มีน้ำใจงามมากๆ เลยนะ งั้นเรามาฉลองปีใหม่กันด้วยผักดองและน้ำอุ่นกันเถอะ”
กลางดึกคืนนั้น มีเสียงร้องอยู่ด้านนอกบ้านว่า “มีของปีใหม่มาส่ง! มีของปีใหม่มาส่ง! บ้านคนแก่ขายหมวกอยู่ไหน?” สักพักก็มีเสียงดังต่อมาว่า “คนขายหมวก… ขอบคุณสำหรับหมวกสาน เราวางของฝากเพื่อแสดงความขอบคุณไว้ให้ สุขสันต์วันปีใหม่นะ”
นั่นเป็นเสียงของรูปปั้นหินจิโซนั่นเอง.. พวกท่านนำของขอบคุณมามอบให้คุณตา แล้วจึงเดินกลับไปที่ชานเมืองเช่นเดิม
เมื่อสองตายายเปิดประตูออกไปก็พบกับข้าวสาร มิโซะ และอาหารการกินอีกมากมายวางอยู่ด้านนอก พวกเขาและครอบครัวหนูช่วยกันเตรียมอาหาร
แล้วนำกล่องอาหารปีใหม่ที่พวกเขาช่วยกันทำไปถวายแด่รูปปั้นจิโซที่ชานเมือง คุณตากล่าวว่า “ตอนนี้ข้าสามารถนำของมาถวายท่านได้แล้ว ขอบคุณมากครับ”
หลังจากนั้นทั้งคุณตาคุณยาย และครอบครัวหนู ก็ฉลองปีใหม่ด้วยกันอย่างมีความสุข
*จิโซ (Jizo-sama) เป็นพระพุทธรูปหินที่นิยมตั้งไว้ตามทาง และเชื่อว่าจะคอยปกป้องคุ้มครองผู้คนทั่วไปที่สัญจรไปมาได้